Code 339 : แบงค์จีนเพิ่มสำรอง กดดันตลาดหุ้นเอเซีย

วันพฤหัสที่ 20 มกราคม 2554

ATT Code : แบงค์จีนเพิ่มสำรอง กดดันตลาดหุ้นเอเซีย
ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยลบ 12 จุด โดยมีกลุ่มพลังงาน และแบงค์ เป็นตัวกดดันตลาด

CHINA:อัตราดบ.จีนพุ่งเกือบ 2% วันนี้ สภาพคล่องตึงหลังแบงก์เพิ่มกันสำรอง เซี่ยงไฮ้--20 ม.ค.--รอยเตอร์
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินของจีนพุ่งขึ้น 1.94% ในวันนี้ โดยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ภายในวันเดียว โดยได้รับผลกระทบจากการระดมเงินสดเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์การปรับเพิ่มเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์จีน (RRR) ที่มีผลบังคับใช้ในวันนี้ และก่อนถึงเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นเดือนหน้า

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 7 วันซึ่งบ่งชี้ปริมาณสภาพคล่องระยะสั้น พุ่งขึ้นสู่ 6.0218% ในวันนี้ เพิ่มขึ้นจากระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 4.0808%

ธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่ม RRR สำหรับทุกธนาคารเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้ ตลาดจะขาดแคลนเงินสดในช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนซึ่งตรงกับช่วงต้นเดือนก.พ.ปีนี้ และเป็นช่วงที่มีการใช้จ่ายของผู้บริโภคสูงที่สุด--จบ--
(รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง)

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
20 มค. 54 ( +10.26 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


เกิน 1036 ปรับตัวขึ้น 1050 – 55 จุด
ดัชนีกำลังแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1023 –35 หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของสัปดาห์นี้

การปรับตัวลง ต่ำกว่า 1022 จะทำให้เกิด“สัญญาณขาย” ในเครื่องมือ Point & Figureดัชนีจะมีความเสี่ยงที่จะ ปรับตัวกลับลงไปแถว
1008 – 13 จุด

ขณะที่การปรับตัว ขึ้นเกิน 1036 จะทำให้เกิด “สัญญาณซื้อ” ในเครื่องมือ Point &Figure ดัชนีสามารถจะปรับตัวขึ้นไปแถว 1050 – 55 ใกล้จุดสูงสุดเดิมของปีนี้


หุ้นเด่น
AP
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะวัน รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 6.20 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายสองสามวัน6.40 – 6.60( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 6.05 )

LH
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง ทยอยซื้อแถว 5.95 – 6.00 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 6.10 จุดสูงสุดวันพุธเป้าหมายสองสามวัน 6.35 - 6.45( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 5.90 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ไม่น่าเกิน 343 - 345
SCB แกว่งตัว 99.50 – 101.50
PTTAR เกิน 38.75 ขึ้น 39.25 - 40
PTTCH ไม่น่าเกิน 152.50 – 153.50
TOP ไม่น่าเกิน 76 - 77
KBANK เกิน 125.50 ขึ้น 128 – 129
IVL ต่ำกว่า 44 ลง 39 - 40
BANPU ปรับตัวลง 800 – 820
IRPC เกิน 6 ขึ้น 6.15 – 6.25
BBL ไม่น่าเกิน 165.50 – 166.50

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดเริ่มมีสิทธิแกว่งผันผวนอีกครั้ง แต่ SET อ่อนตัวลงยังเลือกหุ้นซื้อได้
แนวโน้ม: เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาทั้งจากนักลงทุนต่างประเทศ และสถาบันในประเทศ ส่งผลให้ SET ดีดกลับขึ้นมาแถวจุดสูงสุดในรอบล่าสุดแถว 1035-1036 จุดได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามจากภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศที่เริ่มปรับพักตัวลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและผลประกอบการของบริษัทเอกชนออกมาน่าผิดหวัง น่าจะทำให้ SET มีโอกาสที่จะแกว่งพักตัวลงตามด้วยในวันนี้ แต่จากแรงซื้อที่เริ่มมีกลับเข้ามาซึ่งคาดว่าจะเลือกซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานจะออกมาดี รวมทั้งการรอรับการจ่ายปันผลของ บจ.ต่างๆ ทำให้เราคาดว่า SET จะปรับพักตัวลงเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะกลับมาแกว่งขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง ดังนั้นตลาดอ่อนตัวลงยังเลือกหุ้นเข้ารับได้

กลยุทธ์: ยังเน้นเลือกหุ้นเข้ารับโดยเฉพาะหุ้น Defensive เช่น BGH, BH, BEC,MCOT และกลุ่ม Soft commodity รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลสูง เช่นPHATRA, BLS, SIRI, TMT, MCS, LPN, SVI, TPAC, MODERN เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) PTTEP โอกาสที่มอนทาราจะถูกยึดสัปทานมีน้อยลง เพราะผลการสืบสวนสอบสวนกรณีน้ำมันรั่วในแหล่งมอนทาราด้านสิ่งแวดล้อมพบว่า ไม่มีน้ำมันรั่วไหลไปถึงชายฝั่งออสเตรเลียและอินโดนีเชีย และรัฐบาลออสเตรเลียยอมรับผลการสืบสวนเป็นส่วนใหญ่ ผลการตัดสินมี 2 ทางคือจ่ายค่าปรับแล้วดำเนินงานต่อหรือทบทวนสัมปทานใหม่ กรณีจะใช้เวลา 1-3 เดือนในการพิจารณาว่าจะยึดสัมปทานหรือไม่ แต่จากหลักฐานทำให้เชื่อว่าโอกาสในการถูกยึดมีน้อย และคาดว่าประมาณเดือน ก.พ. จะทราบผล เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 195 บาท

• (+) KSL การประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ เรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อ KSL ตามเดิมราคาน้ำตาลยังมีแนวโน้มสูงขึ้น กำลังการผลิตใหม่บ่อพลอยหนุน แทบทุกธุรกิจทั้งน้ำตาล เอทานอล โรงไฟฟ้า ฟื้นตัวดีขึ้น และยังเริ่มรับรู้รายได้การขายคาร์บอนเครดิต จึงคาดกำไรปี 2011 จะเติบโตแข็งแกร่ง 457% โดยมีราคาเป้าหมายเท่ากับ 18 บาท (DCF@WACC 8.7%) ยังมี Upside 25% จึงยังแนะนำ “ซื้อ”

• (+) KBANK กำไรน่าประทับใจมาก ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 155 บาทกำไรในปี 2010 ดีกว่าคาด 6% และกำไรใน 4Q10 เพิ่ม Q-Q แทนที่จะลดลงตามที่เราคาด เหตุเพราะรายได้เพิ่มทั้งที่เป็นรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมขณะที่สินเชื่อโตสูงถึง 14.4% เราจึงปรับประมาณการกำไรปีนี้เพิ่มเป็นเติบโตจากปีก่อน 22% สูงสุดในแบงก์ใหญ่ และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 155 บาท

• (+) SVI ราคาหุ้นปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและโดดเด่นตั้งแต่เราแนะนำเป็นหุ้นTop pick ในกลุ่มอิเล็คทรอนิคส์ แม้ว่าราคาปิดวานนี้ 4.22 บาทจะเกินราคาเป้าหมายของเราที่ 4.20 บาทไปแล้ว แต่ Target PET ที่เราประเมินไว้ที่ 10 เท่าจัดว่าค่อนข้าง conservative หากประเมินที่ 12 เท่า ราคาเป้าหมายของหุ้นอาจไปได้ถึง 4.8 – 5.0 บาท แนะนำให้ถือ let profit run ต่อได้เพราะ dividend yieldสูง แต่หากเล่นรอบ ขายก่อนบริเวณ 4.5-4.7 บาท แล้วค่อยสะสมอีกครั้ง

• (+) QH คาดกำไรปกติ 4Q10 ฟื้นตัวถึง 93.2% Q-Q และ +6.7% Y-Yและทำให้กำไรทั้งปี 2010 โต 9% และคาดกำไรปี 2011 โตต่อ 10.2% เราคาดว่า QH จะจ่ายเงินปันผล 0.12 บาท/หุ้น (จ่ายปีละครั้ง) คิดเป็น Yield 5.4% ถือว่าน่าสนใจทั้ง Yield และ Capital gain อีกกว่า 20% จากราคาเป้าหมาย 2.80 บาท

• Fund Flow วานนี้เข้าไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาค ยังซื้อสุทธิหนักที่ตลาดไต้หวันส่วนตลาด TIP ซื้อไทย อินโด แต่ขายฟิลิปปินส์ ถือเป็นสัญญานดีหลังจากขายมาต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติน่าจะยังมีต่อเนื่องอยู่โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นแรง ปัจจัยใหม่ที่กระทบตลาดช่วงนี้ถือว่านัอย อย่างไรก็ตามช่วงนี้เป็น Earnings Season ส่วนใหญ่น่าจะออกมาดีและแนวโน้มยังเป็นบวกต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตอาจไม่มากเท่าปี 2010 ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียยังทรงตัว โดยค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าเล็กน้อยมาอยู่ที่ 30.54 บาท/ดอลลาร์ ทำให้มองว่าแนวโน้มกระแสเงินลงทุนต่างชาติยังคงเบาบาง แต่อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ยังเป็นกลุ่มนำตลาดโลกในช่วงนี้


ข่าวภายในประเทศ
กลุ่มอีริคสัน จะใช้สิทธิ์โต้แย้ง หลังไม่ผ่านคุณสมบัติด้านเทคนิคประมูล 3G ของ TOT การประมูลโครงการสร้างโครงข่าย 3G ของ TOT เริ่มส่อเค้ามีปัญหา หลังจากได้สรุปผู้ผ่านการคัดเลือกด้านเทคนิค 2 ราย จาก 4 ราย (คือกลุ่ม AU ที่มี AIT ร่วม และกลุ่ม SL ที่มีกลุ่ม SAMTEL/SAMARTร่วม)โดยบริษัท อีริคสัน (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะกิจการร่วมค้าอีริคสัน ซึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้น ระบุว่าเรื่องที่ไม่มีแค็ตตาล็อกอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสายอากาศ (Antenna) ไม่ใช่ประเด็นที่มีสาระสำคัญ แต่กลับถูกตัดสิทธิ มองว่ากระบวนการตัดสินรวบรัดและอาจไม่เป็นธรรม ขณะที่ตั้งข้อสังเกตกับกิจการร่วมค้า 2 กลุ่ม ที่ผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นว่า รายหนึ่งมีคุณสมบัติขัดกับร่างทีโออาร์ ข้อ 4.2.7 ที่ผู้เสนอราคาห้ามมีธุรกิจที่เป็นการแข่งขัน กับ TOT ขณะที่อีกรายหนึ่งอุปกรณ์ 3 จี ที่นำเสนอไม่ได้เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล ความเห็น: เป็น Sentiment เชิงลบต่อการเก็งกำไร AIT LOXLEY SAMTEL และ SAMART จากความกังวลการประมูลวันที่ 28 ม.ค.นี้ จะล่าช้าหรือไม่ ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ การลงทุนในหุ้นดังกล่าวเพียงในเชิงเก็งกำไร จากปัจจัยเสี่ยงการดำเนินการประมูลที่อาจช้ากว่าคาด และต้องระวัง Sell on Fact หลังการประมูลจบ กอปรกับราคาหุ้นส่วนใหญ่ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาปรับขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว มีเพียง AIT ราคาหุ้นปัจจุบัน PE ยังไม่สูงนักระดับใกล้ประมาณ 8 เท่า (จาก Settrade.com TPเฉลี่ย 50-52 บาท) กรณี SAMTEL ราคาเป้าหมายปี 11 เดิมที่ 11.60 บาท (อิง P/E 15 เท่า) และประเมินเบื้องต้น Upside จากโอกาสได้งานติดตั้งโครงข่าย 3G ของ TOT ดังกล่าว เบื้องต้นประมาณหุ้นละ 3 บาท เป็น 14.60 บาท ส่วน SAMART (ถือหุ้น 70.6% ใน SAMTEL) ราคาเป้าหมายเดิม8.90 บาท + Upside ประมาณ 1.30 บาท เป็น 10.20 บาท

STANLY สดใส! ออเดอร์รอพรึบฮอนด้ารุก 12 รุ่น STANLY ลูบปากรอฟาดงานเพิ่ม “ฮอนด้า”กางแผน 3 ปี ผลิตรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่เพิ่ม 12 รุ่นลั่นสูบงานอีโคคาร์เพิ่มไม่หยุดถึง 4 เจ้าไปแล้ว วงการเงินชี้กำไรทั้งปีมีสิทธิโตถึง 1,400 ล้านบาท ส่วน IHL งบสวยไม่แพ้ ต้นทุนราคาต่ำ ออเดอร์งานแน่น หนุนกำไรทั้งปี'53 เฉียด 300 ล้านบาท แถมปี'54 มีลุ้นกลับรายการตั้งสำรองกรณี บสท. อีก 105 ล้านบาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 20-01-2011)

LPN ลุ้นครึ่งหลังปันผลสูง 42 สต .เป้า 10.80 บาท LPN ชงบอร์ดอนุมัติปันผล 17 ก.พ.นี้ ส่งซิกปี'53 จ่ายสูงกว่า 0.50 บาท รับแรงหนุนรายได้-กำไรพุ่ง โบรกฯคาดปันผลครึ่งหลังปี'53 อีก 0.35-0.42 บาท จากทั้งปีคาดจ่าย 0.53-0.60 บาท คิดเป็นยีลด์สูง 6-7% หลังครึ่งแรกปี'53 จ่ายไปแล้ว0.18 บาท/หุ้น แนะซื้อราคาเป้าหมาย 10.80 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 20-01-2011)

SYNEX ฟุ้งรายได้ปีนี้ 2 หมื่นล. ส่งซิกกำไรสุทธิโตมากกว่า 20% "ซินเน็ค" ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2 หมื่นล้านบาท เติบโต 20% จากปี 2553 ที่คาดว่ามีรายได้ 1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนกำไรส่งซิกโตเกิน 20% หลังต้นทุนดำเนินงานลดลง และมีกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น ปัจจุบันซุ่มเจรจาลูกค้า 1-2 ราย คาดสรุปชัดเจนไตรมาส 2/54 พร้อมทุ่มงบ 30-50 ล้านบาท ปรับปรุงสาขา-พัฒนาระบบงาน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 20-01-2011)

NWR ตุนแบ็กล็อก 1.4 หมื่นล้าน ตั้งเป้าปีนี้รายได้ 4 พันล.โต10% NWR ตุนงานในมือ 1.4 หมื่นล้านบาท รับรู้รายได้ยาว 8 ปี แถมยังมีงานที่รอผลประมูลอีก 7,800 ล้านบาท คาดรู้ผลภายในต้นปีนี้ ลั่นได้งานใหม่ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท จากการเข้าประมูลงานต่อเนื่อง ส่วนปีนี้ตั้งเป้ารายได้4,000 ล้านบาท โต10% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 20-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวลง 12.64 จุดเมื่อคืนนี้ หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของ โกลด์แมน แซคส์และเวลล์ ฟาร์โก ขณะที่ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือน ธ.ค.ของสหรัฐก็ดิ่งลงด้วย

ตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าแนวโน้มตลาดหุ้นยุโรปยังคงมีทิศทางเป็นบวก จากแรงหนุนของผลประกอบการภาคเอกชนในยุโรปที่น่าพึงพอใจ และแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่ปรับตัวดีขึ้น

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ ก็เปิดทำการด้วยการปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่ยังเป็นการปรับตัวลงไม่มากนัก

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 90.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลงอีก 0.52 ดอลลาร์ โดยถูกกดดันทั้งจากภาวะอุปทานที่เริ่มเข้าสู่เสถียรภาพ ตัวเลขภาคที่อยู่อาศัยที่อ่อนแอ และรายงานสต็อกน้ำมันดิบจาก API เพิ่มขึ้น โดยต้องตามดูตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบจาก EIA ในคืนนี้(20 ม.ค.)อีกครั้ง

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1370.20ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้นอีก 2.00 ดอลลาร์ จากค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่า และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในเอเชีย

ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: เยอรมนีปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 54 เป็น 2.3% เยอรมนีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2554เป็น 2.3% จากระดับการคาดการณ์เมื่อเดือนต.ค. 2553 ที่ 1.8% เนื่องจากการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และการใช้จ่ายภาคเอกชนที่สูงขึ้นรัฐบาลเยอรมนีคาดว่า อัตราการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้จะอยู่ที่ 6.5% ซึ่งชะลอตัวลงจากระดับ 14.2% ในปีที่แล้ว และคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวขึ้น 6.4% เมื่อเปรียบเทียบกับที่ขยายตัว 13% ในปีที่แล้ว (ที่มา: อินโฟเควสท์ 19-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยตัวเลขสร้างบ้านเดือนธ.ค.ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการสร้างบ้านประจำเดือนธ.ค.ปี 2553 ร่วงลงแตะระดับ 529,000 หลังต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 553,000 หลัง และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 550,000 หลัง ซึ่งบ่งชี้ว่าภาวะซบเซาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการอนุญาตสร้างบ้านเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 16.7% แตะระดับ 635,000 หลัง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2551 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 560,000 หลัง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 20-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหลักทรัพย์-พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐสูงสุดในรอบ 3 เดือน กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่ายอดการซื้อหลักทรัพย์และพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐจากนักลงทุนต่างชาติในเดือนพ.ย.มีมูลค่าทั้งสิ้น 8.51 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปี 2553 เมื่อเทียบกับยอดซื้อในเดือนต.ค.ที่ระดับ 2.89 หมื่นล้านดอลลาร์ ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังคงถือครองหลักทรัพย์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมาจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป นอกจากนี้ การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อหลักทรัพย์และพันธบัตรสหรัฐ โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นกว่า 21% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา(ที่มา: อินโฟเควสท์ 19-01-2011)
-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น