Code 333 : ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาที่ 2.25%

วันพุธที่ 12 มกราคม 2554

ATT Code : กนง. มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาที่ 2.25%
--กนง.มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาที่ 2.25% ตามนักวิเคราะห์คาด โดยเผยเหตุขึ้น ดบ.ครั้งนี้ เพื่อคุมแรงกดดันเงินเฟ้อที่จะสูงขึ้นในปีนี้ ทำให้กังวลดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ นอกจากนี้ กนง. ยังประเมินเงินทุนเคลื่อนย้าย-FX ปีนี้ ผันผวนมากกว่าปีก่อน...

----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
12 มค. 54 ( -4.64 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นผ่านเส้น 25 ชม. ได้
มีโอกาสปรับตัวกลับลงไป 1007 - 10 ใกล้จุดต่ำสุดเมื่อวานอีกครั้ง อาจจะใช้เวลาสักระยะแกว่งตัวในกรอบ 1007 - 27 ต่ำกว่า 1007.78 ปรับตัวลง 990 - 1000 จุด ต่อไป
-----------------------------------
แกว่งตัวในกรอบ 1008 – 18 จุด
ดัชนีกำลังแกว่งตัว ในกรอบระหว่าง1008 – 18 หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของวันอังคาร

การปรับตัวลง ต่ำกว่า 1007.78 จุดต่ำสุดของสัปดาห์นี้ ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงต่อแถว986 – 996 ใกล้จุดต่ำสุด 29 พย. ปีที่แล้ว ใน
รูปแบบของคลื่น 5 ขาลงต่อไป

ขณะเดียวกันการปรับตัวขึ้น เกิน 1020 ดัชนีมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปแถว 1026 – 32 จุด ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มหลักของตลาดยังคงเป็น “ขาลง” มีเป้าหมาย 900 – 940 จุดสำหรับภาพไตรมาสหนึ่งปีนี้

หุ้นเด่น
TRUE
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 7.00 จุดสูงสุดวันอังคาร เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน7.20 – 7.30( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 6.75 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
SCB ต่ำกว่า 97.25 ลง 93 - 96
BBL ต่ำกว่า 159 ลง 154 – 156
PTT ต่ำกว่า 315 ลง 307 – 312
TOP ต่ำกว่า 70.50 ลง 66 – 69
PTTCH แกว่งตัว 142.50 - 146.50
BANPU ต่ำกว่า 800 ลง 760 – 780
IVL แกว่งตัว 47.50 – 49.75
PTTEP ต่ำกว่า 152 ลง 145 – 150
PTL ไม่น่าเกิน 40 - 41
KBANK ต่ำกว่า 122 ลง 117 - 120


----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : หลังจากทยอยรับไปแล้ว ถัดจากนี้เน้นถือเพื่อรอหาจังหวะทำกำไร...
แนวโน้ม: ความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรปแม้ว่าจะยังมีอยู่ แต่ก็ถูกลดทอนลงบ้าง หลังเมื่อวานนี้โปรตุเกสออกมายืนยันว่าอาจจะยังไม่ต้องรับความช่วยเหลือทางด้านการเงิน ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างประเทศเช้านี้ส่วนใหญ่ปิดและเคลื่อนไหวในด้านบวกเป็นหลัก ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศในบ้านเรายังคงมียอดขายสุทธิต่อเนื่อง แต่ก็ลดระดับลงมาบ้าง ส่วนสถาบันภายในประเทศเริ่มลดแรงขายลงมา
มากพอควร ทำให้ FSS คาดว่าในช่วงปลายสัปดาห์นี้ SET มีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงรีบาวด์กลับขึ้นไปได้ โดยมีเป้าหมายแถว 1030 จุดและอาจลุ้นสูงกว่าได้ด้วย อย่างไรก็ตามยังเน้นเป็นเทรดดิ้งสั้นๆ ตามรอบไปก่อน เพราะยังต้องตามดูสถานการณ์หนี้สินในยุโรป และทิศทางของค่าเงินดอลลาร์ในช่วงถัดไปอีกครั้งกลยุทธ์: หลังจากทยอยรับเมื่อตลาดปรับตัวลงไปแล้ว ถัดจากนี้เน้นถือเพื่อรอหา
จังหวะขายทำกำไร มากกว่าที่จะซื้อไล่ราคาขึ้นไป โดยต้องตามระวังแรงขายจากระดับดัชนีแถว 1030 จุด(+/-) ไว้ก่อน

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) จับตาการประมูลพันธบัตรของโปรตุเกสวันนี้และสเปนพรุ่งนี้ โปรตุเกสจะเปิดประมูลพันธบัตรล็อตใหญ่วันนี้ 1.5 พันล้านยูโร และพรุ่งนี้สเปน 3 พันล้านยูโร หากขายพันธบัตรได้หมด นักลงทุนคลายกังวลเรื่องวิกฤตหนี้ยุโรป ค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาอ่อนค่า ตลาดหุ้น+โภคภัณฑ์จะกลับมารีบาวนด์อีกครั้ง นำโดยกลุ่มปิโตรเคมี+แบงก์ แต่หากประเทศในยุโรปไม่สามารถระดมทุนได้ตามต้องการ
ก็ยังไม่น่ากลัวเพราะสามารถขอความช่วยเหลือจาก EU+ECB+IMF ที่ได้ตั้งกองทุน 7.5 แสนล้านยูโร (1 ล้านล้านดอลลาร์) เมื่อเดือน พ.ค. ปีก่อน มากพอที่สำหรับหนี้ที่ครบกำหนดของไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปนในระยะ 3 ปีนี้
• (0) ติดตามการประชุม กนง. บ่ายนี้ ตลาดคาดว่าจะมีการขยับขึ้นดอกเบี้ย0.25% ในวันนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ จะช่วยให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น (เป็นบวกต่อตลาดหุ้น) เป็นบวกต่อกลุ่มแบงก์ซึ่งจะทยอยประกาศผลประกอบการ 20 – 21ม.ค. นี้
(0) AJ: XT วันนี้ 9 หุ้นเดิม ได้ 1 AJ-T1 การแปลงสภาพของ AJ-T1 เท่ากับ 1:1ที่ราคาใช้สิทธิ 23 บาท/หุ้น มูลค่าของ AJ-T1 จะเท่ากับราคาหุ้นแม่ลบด้วย 23
บาท
• (-) CPF คาดกำไร 4Q10 ลดลงถึง 48% Q-Q เป็นกำไรที่ต่ำสุดในรอบปีที่ผ่านมา (แต่ +6% Y-Y) เพราะเป็นช่วง Low season ของทั้งไก่และกุ้ง ซึ่งจะทำให้กำไรปี 2010 โต 35% ส่วนกำไรปี 2011 เราคาดว่าทรงตัวถึงเติบโตเล็กน้อย+2.3% เพราะราคาวัตถุดิบทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลืองที่แพงขึ้นมากแม้ว่าบริษัทจะล็อคราคายาวถึงกลางปีนี้แล้วก็ตาม เราประเมินราคาพื้นฐาน 25 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันเกือบเต็มมูลค่าแล้ว แนะนำเพียงถือเพื่อปันผล คาดว่าจะจ่าย 0.50– 0.53 บาท/หุ้นในงวด 2H10 (Yield ~2%) อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นมีโอกาสในการเก็งกำไรกับข่าวการพบสารก่อมะเร็งในไก่และหมูของเยอรมนี ซึ่งล่าสุดเกาหลีใต้ได้ระงับการนำเข้าเนื้อหมูจากเยอรมนีแล้ว
• Fund Flow วานนี้ยังไหลออกในตลาดอินโด ไทยและฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้แต่ซื้อสุทธิหนักในตลาดหุ้นไต้หวัน ทำให้โดยรวมทรงตัวหรือชะลอการขายเมื่อเทียบกับ 2 วันก่อนหน้านี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดูเหมือนจะดีขึ้น กลุ่มธนาคารในสหรัฐเริ่มกลับมาจ่ายปันผลได้ ทำให้มองว่ากระแสเงินทุนมีโอกาสไหลเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น สำหรับแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติในตลาดTIP นั้นอาจจะยังมีอยู่แต่เราเชื่อว่าคงทำได้อีกไม่มากเพราะแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในเอเชียยังเป็นขาขึ้น แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ซึ่งประเด็นเงินเฟ้อจะทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนทางกลับราคาหุ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสเข้าซื้อเก็งกำไรต่อเนื่องได้ แต่ต้องกลัวเพราะมันไม่ได้เป็นวิกฤต ค่าเงินบาทวานนี้และวันนี้กลับมาแข็งค่าเกิดจากเงินไหลเข้าซื้อตลาดพันธบัตรด้วยฝรั่วซื้อสุทธิประมาณ 1 หมื่นลบ. แต่ขายสุทธิในตลาดหุ้น 3.8 พันลบ. แสดงว่ามีเงินไหลเข้าและการขายสุทธิของต่างชาติเป็นเพียงขายทำกำไรระยะสั้นเท่านั้น


ข่าวภายในประเทศ
แฉเกมดันราคา BSEC ปล่อยข่าวล่อรายย่อย “ฟินันเซีย”เมินซื้อลูก BFIT งานนี้ไร้เจ้าภาพ เกมดันราคาหุ้น BSECงานนี้ไร้เจ้าภาพ แค่ปล่อยข่าวล่อแมงเม่า สร้างสตอรี่โบรกฯรายหนึ่งเทกฯ จับควบกิจการ ก่อนทำเทนเดอร์ฯ 2.3-2.4 บาท สูงกว่าราคากระดาน วงในเผยโกลเบล็ก ยูโอบี เคย์เฮียน และ บล.ฟินันเซียปฏิเสธซื้อรวมกิจการ “ช่วงชัย” สน บล.ซิกโก้มากกว่า ขณะที่ BSEC มาร์เก็ตแชร์ต่ำแค่ 1% แถมปีหน้าเปิดเสรีโบรกฯ (ที่มา:นสพ.ข่าวหุ้น 12-01-2010)
FIDFพ่นพิษแบงก์ชาติดอกเบี้ยพุ่ง 8 หมื่นล้าน คลังแฉหนี้กองทุนฟื้นฟูฯพุ่ง ปี 2555 ยอดชำระหนี้เฉพาะดอกเบี้ยสูงกว่า 8 หมื่นล้านบาท สูงกว่าปีนี้ 1.4 หมื่นล้าน ตามภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ติงแบงก์ชาติชักช้า ไม่หาทางออก กลายเป็นภาระของคนทั้งประเทศ ขัดไอเดียคลังขายซีโร่คูปอง เพื่อลดดอกปีละ 2.8 หมื่นล้าน ส่วนแผนอื่นช้าต้องรอแก้กฎหมาย หวั่นหนี้พุ่งไม่หยุด (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 12-01-2010)
TMI รุกฆาตตปท.เป้ารายได้โต 20% ปีนี้ตลาดสดใส! TMI ปีนี้เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ คาดอินเดียดันยอดขาย บุกตลาดบังกลาเทศ มองมีโอกาสเติบโตได้ มั่นใจรายได้เติบโต 17-20% ส่วนตลาดในประเทศ มีแผนขยายช่องค้าปลีกเพิ่ม จากปัจจุบันมีโกลบอลเฮ้าส์ 11 สาขา ส่วนออฟฟิศใหม่เตรียมย้ายเข้าต้นเดือนมี.ค.นี้ (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 12-01-2010)
SC น่าซื้อราคาต่ำกว่าบุ๊ค กำไรดี-ปันผลยีลด์สูง7% "SC" ยันงบ Q4/53 แจ่มสุด เหตุบุ๊คโอนคอนโดก้อนใหญ่ ดันรายได้ปี'53 เข้าเป้า 6 พันล้านบาท ส่วนรายได้ปีนี้โตสูงกว่า 20% ลุยเปิด 10 โครงการใหม่ ขณะที่ราคาต่ำกว่าบุ๊ค โบรกฯเชียร์ซื้อเป้าหมาย 23.83 บาท ลุ้นปี'53 จ่ายปันผลสวย1.13 บาท/หุ้น คิดเป็นยีลด์สูง 7% แถมคาดกำไรปีนี้โตเพิ่ม 23% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 12-01-2010)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้น 34.43 จุด จากรายงานผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ออกมาดีช่วยหนุน ขณะที่ความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรปลดลง
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปก็สามารถดีดกลับขึ้นเป็นบวกตามดัชนีดาวโจนส์ หลังโปรตุเกสออกมายืนยันความสามารถในการยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ส่งผลตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกตามขึ้นมาด้วย
VIX Index กลับมาปรับตัวลดลงกว่า 3.7% หลังผลประกอบการภาคเอกชนของสหรัฐออกมาดีเกินคาด ขณะที่ปัญหาของโปรตุเกสเริ่มลดแรงกดดัน
ราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดีดกลับขึ้นมาถึง1.86 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 91.11 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลต่อปัญหาอุปทานน้ำมันทั้งในสหรัฐและยุโรป หลังมีปัญหาขัดข้องด้านการผลิต
ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX บวกต่ออีก 10.20ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1384.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน

ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: ยูโรพุ่งเทียบดอลล์ รับข่าวธนาคารกลางยุโรปซื้อพันธบัตรโปรตุเกส ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจที่จะซื้อพันธบัตรของรัฐบาลโปรตุเกส และญี่ปุ่นประกาศแผนเข้าซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลในกลุ่มยูโรโซน ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าประเทศที่ประสบปัญหาด้านการเงินในยุโรปจะสามารถระดมทุนได้สูงพอที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้สาธารณะได้ ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้น 0.27% แตะที่ 1.2976 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2941ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ค่าเงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.28% แตะที่ 1.5614 ปอนด์ จากระดับ 1.5570 ปอนด์ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 12-01-2011)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 0.2% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย.ปรับตัวลดลง 0.2% จากเดือนต.ค. มาอยู่ที่ระดับ 4.255 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบเกือบ 1 ปี แต่หากเทียบเป็นรายปีพบว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.4% รายงานของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ยอดขายในภาคค้าส่งเดือนพ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9% จากเดือนต.ค. แตะระดับ 3.701 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้น 12.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสินค้าจำพวกฮาร์ดแวร์ สินค้าทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ที่มา: อินโฟเควสท์ 12-01-2011)
จีน: จีนเผยทุนสำรองระหว่างประเทศปี 53 พุ่งแตะ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2553 ซึ่งทำให้จีนยังคงรักษาตำแหน่งประเทศที่มีทุนสำรองมากที่สุดในโลกต่อไปอีก โดยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้น 1.99 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2553 และเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่จีนกำลังเผชิญกับเสียงเรียกร้องจากสหรัฐและประเทศอื่นๆให้ผ่อนคลายการควบคุมสกุลเงินหยวนที่เป็นผลให้เม็ดเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนพุ่งขึ้นอย่างมาก (ที่มา: อินโฟเควสท์ 11-01-2011)
จีน: สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าจีนเผยผลผลิตเหล็กดิบเดือนธ.ค.ขยายตัวขึ้น สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าจีน (CISA) เปิดเผยว่า ผลผลิตเหล็กดิบขยายตัวขึ้นในไตรมาส 4 ของปี 2553 พร้อมกับที่โครงการพัฒนาระยะเวลา 5 ปี ฉบับที่ 11 (2549-2553) สิ้นสุดลง สมาคมฯระบุว่า ผลผลิตเหล็กดิบยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนธ.ค. ด้วยปริมาณผลผลิตรายวันโดยเฉลี่ยที่ 1.733 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตรายวันตลอดทั้งเดือนธ.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ 1.699 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 5.07% จากเดือนพ.ย (ที่มา: อินโฟเควสท์ 11-01-2011)
เอเชีย: ยอดขายรถยนต์นำเข้าใหม่ของญี่ปุ่นปี 53 เพิ่มขึ้น 26.1% สมาคมผู้นำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดขายรถยนต์นำเข้าใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ป่น เพิ่มขึ้น 26.1% ในปี 2553 แตะที่ 225,083 คัน จากยอดขายทั้งหมดนี้พบว่ายอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถบัสที่ผลิตในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเป็น 43,000 คันในปี 2553 จากระดับ 17,623 คันในปี 2552ขณะที่ยอดขายรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทต่างชาติ เพิ่มขึ้น 13.2% แตะที่ 182,082 คัน หากพิจารณายอดขายรถยนต์ในแต่ละแบรนด์พบว่า ยอดขายโฟล์คสวาเก้นมีส่วนแบ่งตลาดมาเป็นอันดับ 1 ที่ 20.75% ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 23.1% แตะที่ 46,707 คัน ตามด้วยบีเอ็มดับเบิลยูที่มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 2 ที่ 14.41% ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 11.5% แตะที่ 32,426 คัน และเมอร์เซเดซ-เบนซ์ ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากเป็นอันดับ 3 ที่ 13.74%ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 7.6% แตะที่ 30,936 คัน (ที่มา: อินโฟเควสท์ 11-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น