Code 343 : แรงขายฝรั่งเริ่มสะเด็ดน้ำ

วันพุธที่ 26 มกราคม 2554

ATT Code : แรงขายฝรั่งเริ่มสะเด็ดน้ำ
EFinance Thai : กูรู ตลาดทุนฟันธง แรงขายนักลงทุนต่างชาติเริ่มสะเด็ดน้ำ แนะนักลงทุนไทยอย่ากังวลมากเกินไป ระบุหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ทั้งผลประกอบการ บจ. ส่อแววสดใส หลายแห่งมีลุ้นจ่ายปันผลเยี่ยม เครดิตสวิส ยังคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน แนะลุยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และท่องเที่ยว

--------------------------------------------------------------
Short News -FSS Research

SCC : กำไร 4Q10 ดีกว่าคาด (+154% Q-Q, +213% Y-Y) - Outlook ยังดี - Maintain BUY TP Bt395
· SCC ประกาศงบปี 2010 มีกำไรสุทธิ 37,382 ลบ. เพิ่มขึ้น 54%y-y เนื่องจากมีกำไรจากการขายหุ้น PTTCH 8.8 พันลบ.
· สำหรับผลประกอบการ 4Q10 มีกำไรสุทธิ 16,673 ลบ. เพิ่มขึ้น 154% q-q และ 213% y-y เนื่องจากมีกำไรจากการขายหุ้น PTTCH กว่า 8.8 พันลบ. แต่หากไม่รวมรายการพิเศษไตรมาสนี้มีกำไรจากการดำเนินงาน 6,710 ลบ. เพิ่มขึ้นเพียง 3% q-q และ 25%y-y เนื่องจากโรงานปิโตรเคมีแห่งที่ 2 หยุดซ่อมบำรุง 40 วัน ทำให้กำลังผลิตเม็ดพลาสติกโดยรวมลดลงไปด้วย อีกทั้งโรงงานปิโตรแห่งที่ 2 ยังเดินเครื่องไม่เต็มกำลังผลิต
· แนวโน้มกำไรปี 2011 ยังโตต่อเนื่องจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีโรงงานแห่งที่ 2 เดินเครื่องเต็มกำลังผลิตเต็มปี และธุรกิจซีเมนต์โตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนธุรกิจกระดาษเติบโตตามเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน โดยเราคาดว่ากำไรก่อนรายการพิเศษปี 2011 จะอยู่ที่ 3.51 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 31%Y-Y
· ยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 395 บาท. แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีเริ่มสดใสขึ้นและจะกำลังจะเข้าสู่วงจรขาขึ้น ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายกันที่ระดับ 10 เท่า ของ PE ปี 2011 ถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีภูมิภาคที่ซื้อขายกันที่ระดับ 13-14 เท่า

STA: ซื้อ...ถ้าถือได้ ราคา 34-35 บาทถือว่าปลอดภัย คิดเป็น PE เพียง 10 เท่าเท่านั้น
STA : แจ้งราคาขาย IPO สิงคโปร์น่าผิดหวัง หุ้นละ 29 บาท และยกเลิก H กลับมาซื้อขายได้ตั้งแต่ 11.30 เป็นต้นไป
- กำหนดราคา IPO น่าผิดหวัง หุ้นละ 1.2 เหรียญสิงคโปร์ หรือเท่ากับ 29 บาท คิดเป็น PE ที่ 8.4 เท่า discount จากบริษัทในกลุ่มเดียวกันที่สิงคโปร์ซึ่งเทรดที่ 14 - 15 เท่าค่อนข้างมาก
- ขอยกเลิก H และจะกลับมาซื้อขายได้ตามปกติตั้งแต่ 11.30 น. เป็นต้นไป
- ได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ 8,120 ลบ. โดย 65% ใช้สำหรับซื้อโรงงานผลิตยางแท่ง และขยายกำลังการผลิต อีก 20% ใช้ซื้อสวนยางพาราเพิ่ม และอีก 15% เป็นเงินทุนหมุนเวียน
- อาจเห็นกำไร 4Q10 ทำ New High ตามราคายางที่ทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง โดยราคายางล่าสุด 171 บาท/กก. (+68% Y-Y, +17% YTD) และคาดยังแพงต่อเนื่องอีก 2 ไตรมาส (1Q11 – 2Q11) จากช่วงปิดหน้ายาง (ชาวสวนหยุดกรีดยาง) เดือนมี.ค. – เม.ย. เป็นบวกต่อ STA
- แต่ระวังกำไร 3Q11 ที่จะลดลงแรง หากราคายางอ่อนตัวเร็ว จะกลายเป็นมี Stock ยางแพงทันที
- ราคาเป้าหมาย 42 บาท (Fully Diluted) อิงจาก PE 12 เท่า ระยะสั้น - sentiment แย่เพราะราคา IPO ต่ำ แต่ระยะกลาง-ยาว ถือว่าดีเพราะราคายางสูงกว่าปีก่อน Demand ยางล้อเพิ่มต่อเนื่อง ปัจจุบัน STA เป็นผู้ผลิตยางแผ่นและยางแท่งใหญ่สุดของโลก
- เทคนิค: ถ้าต่ำกว่า 36 บาท รอแถว 30-32 บาท

DCC (BUY) - กำไรต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดีต่อในปีนี้
* คาดกำไรปี 2011 โตต่อเนื่อง 24.7% เราปรับประมาณการกำไรปี 2011 ลงเล็กน้อย 3% โดยปรับเพิ่มต้นทุนและค่าใช้จ่ายขึ้นจากแนวโน้มค่าก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นวัตถุดิบของบริษัท และค่าขนส่งที่จะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรของ DCC ในปี 2011 ก็ยังคาดว่าจะโตต่อเนื่อง 24.7% จากการขยายกำลังการผลิตเป็น 61 ล้าน ตรม. ใน 1Q11 และการเพิ่มจุดกระจายสินค้าเพื่อรองรับตลาดในต่างจังหวัดที่ยังมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในภาคอีสานและเหนือ
* แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 65 บาท จุดเด่นของ DCC อยู่ที่การเป็นผู้นำในตลาด กำไรเติบโตต่อเนื่อง โครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง มี ROE สูงถึง 43.7% และจ่ายปันผลสม่ำเสมอในอัตราเกือบ 100% ของกำไรทุกไตรมาส ซึ่งคิดเป็น Yield 6% - 7% ต่อปี ราคาหุ้นที่ปรับฐานลงมา 27% จากจุด Peak ในปีก่อน (ลงมามากกว่า SET Index ที่ -9%) ทำให้ upside กว้างขึ้นเป็น 34.0% จากราคาเป้าหมายที่ 65 บาท (อิง PE 18.0 เท่า หรือ 2 Standard deviation ของ PE เฉลี่ยปี 2001 - 2009) จึงยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’

PTTEP ปันผล 2.48 บาท/หุ้น สำหรับงวด 2H53 --- XD 10 ก.พ 2554 จ่าย 18 เม.ย 2554
PTTEP : กำไรปี 2010 ดีตามคาด - Maintain BUY TP Bt195
· PTTEP ประกาศงบ 4Q10 มีกำไรสุทธิ 10,119 ลบ. ลดลง 3.9%q-q แต่เพิ่มขึ้น 117.5%y-y เนื่องจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงและไม่มีค่าสินไหมทดแทนจากมอนทารา หากไม่รวมรายการพิเศษไตรมาสนี้มีกำไรจากการดำเนินงาน 9.98 พันลบ. เพิ่มขึ้น 7.1%q-q และเพิ่มขึ้น 57.4%y-y จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น 3%q-q และเพิ่มขึ้น 9%y-y มาอยู่ที่ 272,198 บาร์เรลต่อวัน และราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 46.14 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 4%q-q และเพิ่มขึ้น 6%y-y
· ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง ทั้งค่าใช้จ่ายในการสำรวจและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
· ส่วนผลประกอบการปี 2010 มีกำไรสุทธิ 4.17 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 88.4% เนื่องจากมีรายรับจากค่าสินไหมทดแทนจากมอนทาราและค่าเงินบาทแข็ง รวมถึงปริมาณการขายและราคาที่ปรับขึ้นมากกว่าปี 2009
· เรายังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 195 บาท/หุ้น
· เดือนหน้าลุ่นรายงานผลสรุปโครงการมอนทารา PTTEP คาดจะออกมาในทางบวก

TSTH: ขาดทุนหนักกว่าตลาดคาดมาก
- 3Q10 (ต.ค. - ธ.ค. 2010) ขาดทุนถึง 677 ล้านบาท มากกว่าที่เราคาดว่าจะขาดทุนกว่า 300 ล้านบาท และมากกว่าไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 161 ล้านบาท
- เพราะยังมีปัญหาที่เตาหลอมของโรงถลุงซึ่งติดตั้งมาเกือบปีแล้ว ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาไปซื้อวัตถุดิบ (สินแร่เหล็กและถ่านโค้ก) มาแพงมาก
- ความต้องการใช้เหล็กเส้นในไตรมาสที่ผ่านมาชะลอมากเพราะฝนตกน้ำท่วม
- คาดว่ากำไรในไตรมาสนี้ (4Q10 ม.ค. - มี.ค. 2011) จะดีขึ้น อาจจะขาดทุนน้อยลงหรือมีกำไรเล็กน้อยเพราะ 1. ราคาเหล็กในประเทศเริ่มขยับขึ้นตามต้นทุนที่แพงขึ้น และ 2. วัตถุดิบที่แพง เหลือน้อยแล้ว
- Book value ณ สิ้น ธ.ค. 2010 = 1.41 บาท/หุ้น แม้ว่าจะคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.65 บาท/หุ้นสิ้นปี 2011 แต่ผลประกอบการที่ยังไม่ค่อยดีอีก 1 ไตรมาส แนะนำหลีกเลี่ยง

-----------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - โอกาสซื้อหุ้น!!
ดัชนีหุ้นวันที่ 25 ม.ค.54 ปิดที่ 959.17 จุด ลดลง 4.51 จุด มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 40,703.65 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 607.67 ล้านบาท

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ มองทิศทางตลาดน่าจะยังคงมีความผันผวนแกว่งตัวขึ้น-ลงแรงต่อเนื่องอีก ขณะที่นักลงทุนยังคงมีความกังวลและไม่มั่นใจว่าต่างชาติจะหยุดขายหุ้นเมื่อไร ทั้งนี้ ด้านเทคนิค ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในกรอบกว้าง ที่ 950-970 จุด

กลยุทธ์การลงทุน หากเป็นนักลงทุนระยะสั้น แนะให้ซื้อขายในกรอบดัชนีด้านเทคนิคดังกล่าว แต่ต้องระมัดระวัง หากดัชนีหลุด จากกรอบดังกล่าว ต้องหยุดเล่นทันที

ส่วนนักลงทุนระยะกลางและระยะยาว แนะให้ "ทยอยสะสม" หุ้นพื้นฐานดี

ขณะที่มีบทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง น่าสนใจ โดยระบุว่า ปัจจุบันต่างชาติขายหุ้นขาดทุนมากขึ้น เพราะหากประเมินต้นทุนของต่างชาติพบว่าช่วงวิกฤติการเมืองไทยเดือน มี.ค.และ เม.ย.53 ต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง กดดันให้สถานะสุทธิของต่างชาติติดลบมาโดยตลอด และกว่าที่ต่างชาติจะกลับมามีซื้อสุทธิอีกครั้งวันที่ 19 ส.ค.53

ซึ่งหากเฉลี่ยดัชนีหุ้น ณ วันดังกล่าวถึงสิ้นปี 53 อยู่ที่ 981 จุด บวกกับค่าเฉลี่ยค่าเงินบาทในช่วงเวลาเดียวกัน อยู่ที่ 30.29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

ดังนั้น ณ ปัจจุบันเท่ากับต่างชาติเริ่มขาดทุนจากการขายหุ้นไทย ทั้งในแง่ของส่วนต่างราคา และค่าเงินบาท!! (เพราะต้นทุนหุ้นตอนเข้าซื้ออยู่ที่ 981 จุด ส่วนค่าเงินอยู่ที่ 30.29 บาท)

ดังนั้น กิมเอ็งจึงยังคงคำแนะนำให้นักลงทุน "ถือพอร์ตการลงทุนทั้งหมด" เพราะการ Cut loss หรือตัดขายขาดทุน ที่ระดับปัจจุบันถือว่าไม่คุ้ม ซึ่งหากไม่มีเงินทุนใหม่ให้อดทนถือพอร์ตการลงทุนไว้ เพราะเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน และเชื่อว่าตลาดย่อมฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง

หรือหากมีเงินสดเหลืออยู่ แนะให้ทยอยซื้อสะสมบริเวณ 950 จุดลงไป โดยเป็นการตั้งราคาซื้อเป็นขั้นบันไดลงไป

ส่วนหุ้นรายตัว แนะสะสม AP ให้ราคาเหมาะสม 9 บาท และ PTTAR ให้ราคาเหมาะสม 43 บาท!!

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
26 มค. 54 ( - 4.51 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ปรับตัวขึ้น 967 – 972 จุดแนวโน้มในวันพุธนี้ตราบใด ไม่ต่ำกว่า950.61 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีมีโอกาสดีดตัวขึ้น 967 – 972 ใกล้จุดสูงสุดของวันอังคารอีกครั้ง

และมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดอาจจะแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 20 จุด ระหว่าง 950 -972 หรือระหว่างจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดของวันอังคาร อีกนานหลายวันจนถึงสิ้นสัปดาห์

จากนั้นการปรับตัวลง ต่ำกว่า 950.61 จุดต่ำสุดของวันอังคาร ดัชนีสามารถปรับตัวลงต่อแถว 930 – 935 จุด ต่อไป (คาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า)

ขณะที่ ภาพไตรมาสหนึ่งปีนี้มีเป้าหมายหลักบริเวณ 900 - 920 จุด หรือเท่ากับอัตราส่วน Fibonacci Ratio 38.2 - 50 %นับจากการปรับตัวขึ้นมาเมื่อเดือน มิย. ปีที่แล้ว

หุ้นเด่น
PTTEP
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 155.00กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 158.00 – 159.00 ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 153.50 )

BBL
ปรับตัวทะลุกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะชั่วโมง ทยอยซื้อ 153.00 – 153.50 หรือรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 154.00 กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน155.50 – 156.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 152.00 )155.50 – 156.50

SCB
ปรับตัวขึ้นมาแถวเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงพอดีรอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 98.00 จุดสูงสุดวันอังคาร และเส้นค่าเฉลี่ยดังกล่าว เป้าหมายหนึ่งถึงสองวัน 101.00 – 102.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 96.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT แกว่งตัว 318 - 327
BANPU ต่ำกว่า 740 ลง 700 – 720
SCB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KBANK แกว่งตัว 112 – 117
TOP ต่ำกว่า 67.75 ลง 65 - 67
SCC ต่ำกว่า 308 ลง 290 - 305
IVL แกว่งตัว 39.50 – 42
PTTCH ต่ำกว่า 133.50 ลง 125 – 130
PTTAR ต่ำกว่า 34.25 ลง 32 – 33.50
BBL รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”

----------------------------------------------------------------------------
แรงขายฝรั่งเริ่มสะเด็ดน้ำ - Efinance Thai
กูรู ตลาดทุนฟันธง แรงขายนักลงทุนต่างชาติเริ่มสะเด็ดน้ำ แนะนักลงทุนไทยอย่ากังวลมากเกินไป ระบุหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ ทั้งผลประกอบการ บจ. ส่อแววสดใส หลายแห่งมีลุ้นจ่ายปันผลเยี่ยม เครดิตสวิส ยังคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุน แนะลุยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และท่องเที่ยว

ดัชนีตลาดหุ้นไทย ประจำวันที่ 25 มกราคม 2554 ปิดที่ระดับ 959.17 จุด ลดลง 4.51 จุด หรือ 0.47% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 40,703.65 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิ 607.67 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ขายหนัก 7,703.49 ล้านบาท และ 4,049.49 ล้านบาทตามลำดับ

* บิ๊กตลาด mai เชื่อแรงขายต่างชาติใกล้ยุติ
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า หลังจากนี้ไปคาดว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติคงไม่มากนัก เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.2553-5 ม.ค.2554 นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสะสมอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท แต่หลังจากนั้นมียอดขายออกมา 2 หมื่นล้านบาท และหลังวันที่ 5 ม.ค.2554 มียอดขายมาอีก 3 หมื่นล้านบาท

ส่วนจำนวนยอดซื้อสะสมในช่วงที่ผ่านมา 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นบิ๊กล็อตประมาณ 4.7 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นคงเหลือสัดส่วนในการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติไม่มากนัก ซึ่งนักลงทุนไม่ควรกังวล นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนคงจะทยอยประกาศออกมาและน่าจะมีเงินปันผล ซึ่งคงเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุน

'ในช่วงที่ตลาดหุ้นลงแรงหลังวันที่ 5 ม.ค. รอบนี้ขายไป 3 หมื่นล้านบาท และรอบก่อนหน้านั้นขายไป 2 หมื่นล้านบาท จากยอดซื้อสะสมใ นช่วงวันที่ 15 มิ.ย.53-5 ม.ค.54 จำนวน 1 แสนล้านบาท ของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่ได้หักบิ๊กล็อตของ 4 บริษัท ซึ่งประกอบด้วย PTTCH, RATCH, BEC และ PS จำนวน 4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งนักลงทุนอย่าไปกลัวมาก เพราะยังมีรูมให้นักลงทุนต่างชาติขายได้ไม่เยอะ เดี๋ยวผลประกอบการก็ออกมา เงินปันผลก็น่าจะมี' นายชนิตร กล่าว

* ชี้หุ้นร่วงแรงจากความกังวลการเมือง
ส่วนสาเหตุที่ SET Index ปรับลดลงแรง 24 ม.ค.54 คาดว่ามาจากแรงขายทำกำไร ประกอบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงยังคงเป็นปัจจัยที่นักลงทุนกังวล ส่วนปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อคงไม่มีผลต่อการปรับลดลงของตลาดหุ้นมากนัก เพราะจะเห็นได้จากราคาหุ้นกลุ่มอาหารยังปรับลดลง โดยตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2553 - 5 ม.ค.2554 ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับขึ้นไป 31% แต่หลังจากวันที่ 5 ม.ค.หุ้นในกลุ่มอาหารลดลงเพียง 8% เท่านั้น

อย่าเพิ่งแพนิคกันมากเพราะหุ้นไทยเพิ่งลงมา เพ ราะไม่ใช่นักลงทุนกลัวเงินเฟ้อ ซึ่งตามปกติแล้วถ้านักลงทุนกลัวเงินเฟ้อกลุ่มอาหารก็ไม่น่าปรับลงมาแบบนี้ ส่วนหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีหลังวันที่ 5 ม.ค.ปรับลงมา 14% แต่ก่อนหน้านั้นขึ้นไปแล้ว 78% การปรับลงของหุ้นในครั้งนี้ความเสี่ยงเรื่องการเมืองก็ยังคงมีอยู่ บวกกับการขายทำกำไร' นายชนิตร กล่าว

สำหรับในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2553 - 5 ม.ค.2554 SET50 ปรับเพิ่มขึ้น 38% และหลังวันที่ 5 ม.ค. SET50 ปรับลดลง 9% ส่วนตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2553-5 ม.ค.2554 SET51-100 ปรับเพิ่มขึ้น 47% และหลังวันที่ 5 ม.ค.2554 ปรับลดลง 7% ส่วนหุ้นที่ไม่ได้อยู่ใน SET100 ในช่วงวันที่ 15 มิ.ย.2553-5 ม.ค.2554 ปรับเพิ่มขึ้น 32% และหลังวันที่ 5 ม.ค.ปรับลดลง 3% ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 61 บริษัท ปรับเพิ่มขึ้น 26% และหลังวันที่ 5 ม.ค.ปรับลดลง 4%

* เครดิตสวิสแนะ 'ซื้อ' หุ้นไทย เชื่องบ บจ.หรู-การเมืองไม่บานปลาย
รายงานข่าวบนเว็บไซต์บลูมเบิร์กดอทคอมระบุ
ว่า เครดิตสวิสกรุ๊ปเอจีแนะนำนักลงทุน 'ซื้อ' หุ้นไทย หลัง Set Index ปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 15 เดือนวานนี้ เนื่องจากคาดการณ์ว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะยังคงออกมาดี ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่า สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองจะไม่บานปลาย

โดยวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลง 4.3% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับแต่เดือนตุลาคมปี 2009 หลังเกิดการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งแกนนำประกาศว่าจะเป็นการชุมนุมที่ยืดเยื้อ

'ทิศทางการเมืองไทยในปีนี้ค่อนข้างดีกว่าปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงควรถือหุ้นมากกว่าที่จะเทขาย ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนค่อนข้างเป็นปัจจัยกระตุ้นภาวะกระทิง' นายแดน ไฟน์แมน และนางศิริพร โสธิกุลนักวิเคราะเครดิตสวิสระบุในบทวิเคราะห์

'เราเชื่อว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยจะอยู่ในระดับต่ำกว่าของตลาดเพื่อนบ้าน เราจึงยังคงคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทย และแนะนำลงทุนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และท่องเที่ยว' ในบทวิเคราะห์ดังกล่าว ระบุ
นอกจากนี้ เครดิตสวิส คาดว่า การยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม และคาดว่า ฝ่ายรัฐบาลจะสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนด้วยการชนะการเลือกตั้ง

* โบรกฯ เผยแม้หุ้นดิ่งหนัก แต่ไม่มีฟอร์ซเซลลูกค้าบัญชีมาร์จิ้น
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดีบีเอสวิคเคอร์ (ประเทศไทย) และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง แต่ประเมินว่าบัญชีมาร์จิ้นโลนของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะไม่มีการบังคับลูกค้าขายหุ้น (Force Sell) เนื่องจากปัจจุบันขนาดการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กลงจากในอดีต แต่คาดว่าอาจมีการเรียกหลักประกันเพิ่มเติมจากลูกค้าบางรายที่ถือหุ้นบางตัวที่มีการปรับตัวลดลงแรงเพียงเท่านั้น

สำหรับบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ (ประเทศไทย) ปัจจุบันได้มีการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นโลนไม่สูงมากนักอยู่ที่ประมาณ 600-700 ล้านบาท จากวงเงินรวมที่ได้ตั้งไว้ที่ 1 พันล้านบาท ขณะที่วานนี้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแรง บริษัทก็ไม่ได้มีการ Force Sell ลูกค้าแต่อย่างใด อาจจะมีเพียงการให้ลูกค้าวางหลักประกันเพิ่มเติมในหุ้นบางตัวเท่านั้น

ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(KEST) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีมาร์จิ้นที่ปล่อยกู้ให้ลูกค้าเพียง 4.3 พันล้านบาท จากนโยบายของบริษัทฯที่ตั้งวงเงินในการปล่อยมาร์จิ้นโลนไว้ที่ 4-5 พันล้านบาท ซึ่งลูกค้าที่ได้รับการปล่อยกู้ได้รับผลกระทบจากกรณีดัชนีหุ้นไทยดิ่งแรงไม่มากนัก

โดยบริษัทได้มีการเรียกลูกค้าบางรายให้มาวางหลักประกันเพิ่มเท่านั้น เนื่องจากในการปล่อยสินเชื่อมาร์จิ้นโลนบริษัทฯได้มีการเลือกปล่อย โดยพิจารณาจากคุณภาพของหุ้น รวมถึงพิจารณาจากคุณภาพของลูกค้า

* บลจ.บัวหลวง เชื่อเงินต่างชาติยังพักในไทย รอจังหวะช้อนหุ้นรอบใหม่
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (บลจ.บัวหลวง) เปิดเผยถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงวานนี้ต่อเนื่อง น่าจะเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติเพราะมองว่าได้กำไรมากแล้ว และบางส่วนโยกเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากคาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ดังกล่าว น่าจะเป็นปัจจัยบวกเพียงชั่วคราวเพราะโดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากตัวเลขการว่างงานที่ไม่ได้ปรับตัวลดลง แต่เชื่อว่าเงินส่วนใหญ่ยังไม่ได้ไหลออกนอกประเทศ แต่โยกไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อพักเงินเท่านั้น ก่อนที่ต่างชาติจะหาจังหวะเข้าซื้อรอบใหม่ในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัวลง

ทั้งนี้ ในส่วนของ บลจ.บัวหลวง ก็ได้มีการขายหุ้นออกมาบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่เป็นการเปลี่ยนตัวหุ้นเท่านั้น เพราะสัดส่วนการถือครองหุ้นยังเท่าเดิมไม่ได้ลดลง

สำหรับทิศทางของดัชนีตลาดฯ ไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ดีขึ้นประมาณ 15-18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์บางแห่งประเมินไว้สูงถึง 18-20% ดังนั้น เชื่อว่า ในที่สุดแล้วราคาหุ้นในตลาดฯ ก็น่าจะปรับเข้าสู่พื้นฐานที่แท้จริง

'ปัจจัยเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เชื่อว่าถึงจุดหนึ่งเงินจะไหลกลับมา แต่การปรับลงก็ดีในอีกมุมหนึ่ง คือ ให้ให้ราคาหุ้นหลายตัวถูกลง พีอีต่ำลง เราจะได้เข้าไปเลือกซื้อได้ ซึ่งในระยะสั้นหากพอใจในราคาที่ลดลงก็เข้าซื้อได้ ส่วนดัชนีฯ จะฟื้นช่วงใด บางโบรกเกอร์ก็มองไตรมาส1 หรือครึ่งปีหลัง' นาง วรวรรณ กล่าว

* บล.กิมเอ็ง ชี้ต่างชาติเริ่มขาดทุนจากการขายหุ้นไทย แนะตั้งซื้อแบบขั้นบันไดลงไป
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ณ ปัจจุบันต่างชาติขายขาดทุนมากขึ้น หากประเมินต้นทุนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติพบว่าช่วงวิกฤติการเมืองของไทยเดือน มี.ค. และ เม.ย. 2553 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างหนาแน่นและต่อเนื่อง กดดันให้สถานะสุทธิของนักลงทุนต่างชาติติดลบมาโดยตลอด และกว่าที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับมามีสถานะซื้อสุทธิอีกครั้งวันที่ 19 ส.ค. 2553

หากเฉลี่ย SET Index ณ วันดังกล่าวถึงสิ้นปี 2553 อยู่ที่ 981 จุด บวกกับค่าเฉลี่ยเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 30.29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ณ ปัจจุบันเท่ากับ นักลงทุนต่างชาติเริ่มขาดทุนจากการขายหุ้นไทย ทั้งในแง่ของส่วนต่างราคา และค่าเงินบาท

ดังนั้น KimEng คงคำแนะนำให้นักลงทุน “ถือพอร์ตการลงทุนทั้งหมด” การ Cut loss ณ ระดับปัจจุบันถือว่าไม่คุ้มแล้วเช่นกัน เพียงแต่หากไม่มีเงินทุนใหม่ แนะนำให้อดทนถือพอร์ตการลงทุน เพราะเชื่อว่าปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน SET Index ย่อมต้องฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง หรือหากมีเงินสดเหลืออยู่ในพอร์ต แนะนำให้ ทยอยสะสมบริเวณ 950 จุดลงไป โดยเป็นการตั้งราคาซื้อเป็นขั้นบันไดลงไป

* บล.ฟินันเซีย ไซรัส เชื่อสุดท้ายหุ้นจะกลับสู่ปัจจัยพื้นฐาน
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส วิเคราะห์ว่า Fund Flow วันที่ 24 ม.ค. ยังไหลออกทุกประเทศในภูมิภาค แต่ปริมาณขายสุทธิชะลอตัวลงจากวันก่อน ซึ่งเป็นไปตามคาดว่านักลงทุนต่างชาติยังปรับพอร์ตต่อเนื่อง ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในประเทศเอเชีย และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยเฉพาะของจีนยังคงเป็นปัจจัยลบที่ยังปั่นทอนตลาดหุ้นเอเชียในช่วงนี้

ขณะที่เมื่อคืนวันเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นใกล้จุดสูงสุดก่อนเกิดวิฤตการเงินในสหรัฐจากตัวเลขการจ้างงานและดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังออกมาดี ค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัวอยู่ 30.97 บาท/ดอลลาร์ หลังจากที่อ่อนค่ามากในช่วงระหว่างวันของวานนี้ ส่วนค่าเงินประเทศอื่นในภูมิภาคยังทรงตัว อย่างไรก็ตามไม่ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียจะแข็งค่าหรือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น

ดังนั้นการขายปรับพอร์ตของนักลงช่วงนี้อาจยังมีอยู่ แต่สุดท้ายก็จะกับสู่ปัจจัยพื้นฐาน เราเน้นซื้อหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี เพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้ปรับหรือบางชนิดปรับขึ้นส่วนทางการราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากเกินไป แม้แนวโน้มกระแสเงินทุนยังไหลออกในช่วงนี้ แต่หากไม่มีเหตุการณ์อย่างอื่นที่รุนแรง เราแนะนำให้ ถือ และมีเงินสดหาจังหวะทะยอยสะสม หุ้นกลุ่มเหล่านี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และ กลุ่มปตท.

* 'เสี่ยป๋อง' แนะช้อนหุ้นปลาย ม.ค.-ต้น ก.พ.นี้
ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือเสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวถึง สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงแรงช่วงนี้ว่า น่าจะเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมาโต 200% สูงกว่าตลาดหุ้นในต่างประเทศ นอกจากนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ 24 ม.ค. มีแรงขายออกมาอย่างหนักในตลาดหุ้นไทย อินโดฯ และฟิลิปปินส์

'ต่างชาติขายทำกำไร โยกเงินไปลงทุนตลาดหุ้นเกาหลี และตลาดต่างประเทศอื่นๆ เพราะได้กำไรจากไทยไปมากแล้ว เห็นได้จากหุ้นขึ้นมาสูงกว่าใครในรอบ 2 ปี พอเขาขายเลยโยกออกจากไทยแรงกว่าเพื่อน' นายวัชระ กล่าว

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวนายวัชระ มองว่ารอบของการขายหุ้น ยังไม่น่าจะหยุดอยู่แค่นี้ จึงต้องติดตามต่อไป แต่จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ในช่วงปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เป็นช่วงของการปรับฐานของตลาดหุ้น ดังนั้น จึงถือว่า เป็นจังหวะที่น่าสนใจที่จะเข้าช้อนซื้อในช่วงดังกล่าว

'ดังนั้น การลงทุนช่วงปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ น่าเข้าช้อนซื้อ ซึ่งผมไม่ได้พูดเอง แต่ดูจากสถิติย้อนหลัง 5 ปีมันเป็นอย่างนั้น และมองว่ากรณีเลวร้ายมีโอกาสที่ดัชนีฯ จะร่วงลงถึง 900 จุดต้นๆ' นายวัชระ กล่าว

ทั้งนี้ โดยส่วนตัว จะเลือกลงทุนหุ้นบิ๊กแคป เช่น แบงก์ พลังงาน หุ้นใน SET50 เพราะหุ้นกลุ่มดังกล่าวเล่นง่าย และยิ่งราคาปรับตัวลงมาก็น่าสนใจ ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อตัวที่ราคาลงแรง

พร้อมกันนี้ในปี 2554 ประเมิน SET Index ว่า มีโอกาสเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัว อยู่ในกรอบ 900-1,200 จุด และคงมี Upside ไม่เกิน 20% เนื่องจากในปีนี้ดัชนีฯ ปรับขึ้นมากแล้ว ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในปีหน้าประกอบด้วย 1.ปัจจัยทางการเมืองเกี่ยวกับความชัดเจนในการเลือกตั้งใหม่ 2.ปัจจัยต่างประเทศเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในยุโรป เป็นต้น

'ปีนี้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเยอะแล้ว ปีหน้าคงเหลือ Upside ไม่เกิน 20% และ SET Index คงแกว่งตัว โดยเต็มที่ไม่น่าจะเกิน 1,200 จุด หรืออยู่ในกรอบ 900-1,200 จุด ส่วนปัจจัยที่น่าจะมีอิทธิพลในปีหน้าก็ไม่มีอะไรมาก การเมืองก็ดูเรื่องการเลือกตั้ง ต่างประเทศก็ดูเรื่องของยุโรป เศรษฐกิจในประเทศยังคงเติบโตได้ แต่คงไม่มาก เพราะปีนี้โตเยอะแล้ว' นายวัชระ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีหน้า ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ควรมีบทวิเคราะห์หรือข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์สนับสนุนก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย เพราะจะช่วยป้องกันความเสี่ยง และทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนด้วย

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ตลาดไหลลงยังน่าเลือกหุ้นทยอยรับ เพื่อรอจังหวะทำกำไรเมื่อ SET ดีด!!
แนวโน้ม: แม้ว่าเมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวลงต่อ แต่ก็เริ่มมีแรงซื้อกลับ เข้ามาบ้างพอควร โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มมียอดซื้อสุทธิให้เห็นอีก ครั้ง ทำให้ SET เริ่มมีจังหวะแกว่งตัวกลับมาเป็นบวกให้เห็นในระหว่างวันได้บ้าง ซึ่งคาดว่ามาจากการเลือกหุ้นเข้าซื้อเป็นรายตัว หลังตลาดปรับตัวลงรุนแรงทำให้ ราคาหุ้นหลายตัวลงมาต่ำมากจนน่าสนใจทยอยเข้ารับเพื่อถือลงทุนได้ รวมทั้ง
เข้าใกล้ช่วงประกาศผลการดำเนินงานด้วย FSS จึงคาดว่าในช่วงท้ายสัปดาห์นี้ SET น่าจะเริ่มมีโอกาสดีดกลับขึ้นไปเคลื่อนไหวเป็นบวกชัดเจนขึ้น ดังนั้น นอกจากแนะนำให้ทยอยเข้ารับสำหรับการถือลงทุนแล้ว ยังสามารถเลือกหุ้นเข้า เทรดดิ้งระยะสั้นในรอบรีบาวด์ของตลาดได้ด้วย โดยมีเป้าหมายทำกำไรแถว 1000 จุดหรือสูงกว่า
กลยุทธ์: หุ้นที่น่าสนใจเข้ารับได้แก่ BGH, BH, BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP, ESSO, BANPU, LANNA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) IMF ปรับเพิ่ม GDP โลกปีนี้ขึ้น 0.2% เป็น 4.4% จากที่คาดไว้เดือน ต.ค. +4.2% และคงปีหน้าที่ +4.5% โดยในปีนี้ IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ของสหรัฐฯ ขึ้นมากที่สุด โดยปรับ GDP เพิ่มเป็น +3.0% จากเดิมคาดเพียง +2.3% รองลงมาได้ปรับ เพิ่มคาดการณ์ GDP ของละตินอเมริกา (บราซิลและเม็กซิโก) ขึ้นจากเดิม +4.0% เป็น 4.3% สำหรับประเทศหลักในเอเชียอย่างจีนและอินเดีย IMF ยังมองเหมือนเดิมคือ +9.6% และ 8.4% ตามลำดับ ส่วนประเทศใน ASEAN-5 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม) IMF ปรับเพิ่มเพียง 0.1% เป็น 5.5% ยังไม่มีการเปิดเผย รายละเอียดของแต่ละประเทศ แต่ล่าสุดคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้ +4.0%

• (+) ต่างชาติกลับมาซื้อตลาด TIPs เป็นวันแรก แม้จะซื้อหุ้นไทยเพียง 607 ล้านบาทแต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่เริ่มกลับมาซื้อหลังจากขายหนัก 2.9 หมื่นล้านบาทมาตั้งแต่ ต้นปี แต่เม็ดเงินที่ซื้อส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่เกาหลีและไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ณ ระดับ SET Index 959 จุด คิดเป็น PE (Bloomberg consensus) ต่ำเพียง 11.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 12 เท่า ถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุนโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกำไรที่Consensus คาดว่าจะโต 15% - 20% ในปีนี้

• (+) DCC กำไรใน 4Q10 -1.3% Q-Q เพราะน้ำท่วมรุนแรงในช่วงปลายปีก่อนทำให้ยอดขายแผ่ว แต่กำไรทั้งปี 2010 +18% เป็น 1.76 พันล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมจ่ายปันผลอีก 0.58 บาท/หุ้น Yield 1.2% XD 4 เม.ย. จ่ายเงิน 4 พ.ค. เราคาดว่ากำไรในปี 2011 โตต่อ 24.7% จากการขยายกำลังการผลิต จุดเด่นของ DCC อยู่ที่กำไรที่โตต่อเนื่อง ROE สูงถึง 43.7% และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 6-7% ต่อปี ราคาหุ้นปรับลงแล้ว 27% จาก Peak ในปีก่อน ทำให้ upside กว้างขึ้นเป็นกว่า 30% เป็นโอกาสในการซื้อ ราคาเป้าหมาย 65 บาท

• (+) กลุ่มรับเหมา รฟม.เตรียมเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาทในเดือน มี.ค. นี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างร่างเอกสารประกวดราคาเพื่อเสนอบอร์ด 16 ก.พ. นี้ และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ พ.ค. 2559 ส่วนสายสีเขียว
ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ มูลค่า 3.65 หมื่นล้านบาท ยังอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องผลกระทบของสิ่งแวดล้อม แนะนำ STEC, CK

• Fund Flow วานนี้กลับมาไหลเข้าทุกประเทศภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่ไหลออกเป็นอย่างมากในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเฉพาะตลาด TIPs ปรับขึ้นเป็นอย่างมากและทำให้เกิดภาวะ Oversold ดังนั้นในเชิงเทคนิกอาจจะเป็นเหตุให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นได้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้น หรือภาพรวมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นภาวะค่าเงินที่แข็งค่าหรือ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้น แต่ผลกระทบเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรงจะเป็นตัวปั่นทอนตลาดในช่วงสั้นและพอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ ภาพรวมเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องเพียงแต่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแตะเบรคเศรษฐกิจไม่ให้ร้อนแรงเกินไป สำหรับค่าเงินบาทเช้านี้ทรงตัว หรือแข็งค่าเล็กน้อยมาอยูที่ 30.94 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ประเทศเอเชียอื่นแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า แนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจนแม้จะกลับมาไหลเข้า ดังนั้นการรีบาวด์ของตลาดรอบนี้อาจเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น เรายังมองว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติยังมีอยู่

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
ตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มแกว่งปรับพักตัวลงอีกครั้งเกือบ 100 จุด หลังถูกกดดันจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัท 3M และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก่อนที่จะกลับมาปิดเป็น ลบ 3.33 จุด จากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค.ที่ เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่นักลงทุนยังจับ ตาดูถ้อยแถลงนโยบายประจำปีของ ปธน.โอบามา ต่อ สภาคองเกรสในช่วงเช้าวันนี้(26 ม.ค. 9 น. ตามเวลาไทย)

ตลาดหุ้นยุโรปก็ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน หลังตัวเลข เศรษฐกิจของอังกฤษหดตัวลงใน Q4/10 ซึ่งถือเป็นการหด ตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ Q3/09

ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดทำการมีทั้งเป็นบวกและลบ โดยยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เป็นหลัก ดัชนี VIX Index ยังปรับตัวลดลงอีก 0.34% หลังตัวเลข ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังออกมาดี

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 86.19 ดอลลาร์/ บาร์เรล ดิ่งลงอีก 1.68 ดอลลาร์ ร่วงลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน หลังนักลงทุนยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกจาก รายงานเศรษฐกิจของอังกฤษที่หดตัวลง รวมทั้งคาดการณ์ สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐคืนนี้อาจเพิ่มขึ้น

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1332.30 ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับตัวลง 12.20 ดอลลาร์ ตัวเลข เศรษฐกิจสหรัฐยังออกมาดีต่อเนื่อง

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น