Code 229 : กลุ่มถ่านหินดี๊ด๊า โบรกฯรุมเชียร์ซื้อ

วันพฤหัสที่ 6 มกราคม 2554

ATT Code : กลุ่มถ่านหินดี๊ด๊า โบรกฯรุมเชียร์ซื้อ
E Finance : หุ้นกลุ่มถ่านหินคึก!! รับอานิสงส์ราคาถ่านหินโลกพุ่ง หลังความต้องการใช้ในจีน-เกาหลีใต้โตก้าวกระโดด ขณะที่สินค้ามีจำนวนน้อยลง หลังผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่อย่างออสเตรเลียประสบปัญหาน้ำท่วม โบรกเกอร์คาดธุรกิจยังสดใสต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน เชียร์ซื้อ BANPU-AGE-LANNA พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่
----------------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
6 มค. 54 ( +8.37 จุด) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338

ไม่น่าต่ำกว่า 1040 – 42 จุด
แนวโน้มในวันพฤหัสนี้ ในกรณีที่มีการปรับตัวลง ดัชนีไม่น่าจะปรับตัวลงต่ำกว่าบริเวณ 1040 - 42 ซึ่งเป็นบริเวณจุดต่ำสุดของวันอังคาร และเป็นบริเวณแนวรับตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงอีกด้วย

ตลาด “อาจจะ” ใช้ระยะเวลาอีกสักพักแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ 1040 – 52 ? หรือระหว่างจุดต่ำสุดของวันอังคาร ถึงจุดสูงสุดของ
วันพุธ

และตราบใด ไม่ต่ำกว่า 1029.96 จุดต่ำสุดของวันสิ้นปีที่แล้ว ดัชนีในเดือน มค. นี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อแถว 1114 – 28 จุด หรือ
ประมาณระยะทาง 1.618 เท่าของคลื่น 1 เดือนมิย. ปีที่แล้ว

หุ้นเด่น
KTB
กำลังปรับตัวในกรอบสามเหลี่ยม ภาพระยะสัปดาห์ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 18.20กรอบบนของสามเหลี่ยม เป้าหมายหนึ่งถึง
สองวัน 18.70 – 19.20 / ระยะเดือน 20.80 –22.80 ? ( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 17.70 )

PTT
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 333 จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้ เป้าหมายระยะสัปดาห์
342 – 345( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 328 )

PTTCH
ยังสามารถปรับตัวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 วันได้ รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 152.00จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์นี้ เป้าหมายระยะสัปดาห์ 155.00 – 157.00( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 149.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
TMB ต่ำกว่า 2.40 ลง 2.32 – 2.36
BANPU ไม่ต่ำกว่า 840 ขึ้น 860 – 868
SCB เกิน 107 ขึ้น 108.50 – 109.50
PTT รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
IVL ต่ำกว่า 54 ลง 52 – 53
PTTCH รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
KTB รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
BAY อาจปรับฐาน 26.25 – 26.75
BBL เกิน 156 ขึ้น 157 – 160
KBANK เกิน 130.50 ขึ้น 134 – 136

----------------------------------------------------------------------------------
E Finance : กลุ่มถ่านหินดี๊ด๊า โบรกฯรุมเชียร์ซื้อ
หุ้นกลุ่มถ่านหินคึก!! รับอานิสงส์ราคาถ่านหินโลกพุ่ง หลังความต้องการใช้ในจีน-เกาหลีใต้โตก้าวกระโดด ขณะที่สินค้ามีจำนวนน้อยลง หลังผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่อย่างออสเตรเลียประสบปัญหาน้ำท่วม โบรกเกอร์คาดธุรกิจยังสดใสต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน เชียร์ซื้อ BANPU-AGE-LANNA พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่

ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นปี 54 ร้อนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มถ่านหินที่โชว์ฟอร์มโดดเด่น หลังจากที่ราคาถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก จากความต้องการถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้นในจีนและเกาหลีใต้ ส่วนกรณีน้ำท่วมที่ออสเตรเลีย ส่งผลให้มีการปิดเหมืองบางแห่ง ทำให้สินค้าที่มีอยู่ในตลาดลดลงพอสมควร

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มถ่านหินจะยังคงสดใสต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน และแนะนำให้ลงทุนในหุ้น บมจ.บ้านปู(BANPU) บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) และบมจ.ลานนารีซอร์สเซส(LANNA) โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 1010 บาท 18.50 บาท และ 24.85 บาท ตามลำดับ

***** ฟินันเซีย ไซรัส เชียร์ซื้อ BANPU-LANNA
บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ราคาถ่านหินมีแนวโน้มขึ้นต่อเพราะอุปทานตึงตัว เราปรับเป้าหมาย BANPU ขึ้นเป็น 1,010 บาท ระยะสั้น-น้ำท่วมที่ออสเตรเลียซึ่งส่งออกถ่านหิน 7-8% ของโลก จะทำให้ปริมาณถ่านหินในตลาดโลกลดลงอย่างน้อย 1 ไตรมาส ขณะที่อินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกถ่านหินรายใหญ่สุดของโลกยังเผชิญกับฤดูฝนในไตรมาสนี้ จึงเป็นปัญหาในด้านการผลิตและขนส่ง ส่วนเหมือง Daning ในจีนของ BANPU ที่ต้องหยุดผลิตชั่วคราวเพราะต่อสัมปทานไม่ทัน ทำให้เสีย Market share ในจีนไปบ้าง จะกลับมาผลิตเป็นปกติใน 2 – 3 เดือนข้างหน้า

แต่ราคาถ่านหินที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลต่อกำไรของ BANPU มากกว่าและทำให้เราปรับประมาณการกำไรของ BANPU ปีนี้ขึ้นอีก 10% เป็นการเติบโตจากปีก่อนถึง 85% ปัจจุบัน BANPU มี PE 8.4 เท่า LANNA 7 เท่า (เป้าหมาย 24 บาท) และ AGE 13.5 เท่า เราเห็นว่า BANPU และ LANNA น่าสนใจมากกว่า AGE

***** เกียรตินาคินสั่งลุย AGE เพิ่มเป้าเป็น 18.50 บาท
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า แนวโน้มหุ้นในกลุ่มถ่านหินยังสดใสต่อเนื่องในช่วง 3-6 เดือนจากนี้ จากราคาถ่านหินที่ยังดีต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือน เพราะมีดีมานด์แข็งกร่ง เห็นได้จากประเทศจีนนำเข้าถ่านหินเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเกาหลีใต้ที่ทำสถิติในการนำเข้าถ่านหิน รวมถึงประเด็นราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ปัจจัยทางอ้อมจากรณีน้ำท่วมที่ออสเตรเลีย ส่งผลให้มีการปิดเหมืองบางแห่ง แม้จะเป็นถ่านหินคนละประเภทกับที่ตลาดส่วนใหญ่ต้องการ แต่ก็น่าจะส่งผลทางด้านจิตวิทยาให้ราคาถ่านหินปรับเพิ่มขึ้น

ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีของบริษัทที่นำเข้าถ่านหินมาขายในประเทศ เพราะจะมีการทำสัญญาล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาขายจริงราคาถ่านหินเพิ่มก็จะได้กำไรจากการขายมากขึ้น เช่น บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน) UMS บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ส่วนกลุ่มธุรกิจที่มีเหมืองเป็นของตนเอง บริษัทฯ ให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด

ทั้งนี้ แนะนำ "ซื้อ" AGE ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท จากเป้าหมาย 14 บาทเมื่อปี 2553 และ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ราคาเป้าหมาย 900 บาท

***** กิมเอ็งให้เป้า BANPU 1010 บาท
บทวิเคราะห์บล.กิมเอ็ง ระบุว่า แนะนำซื้อ BANPU โดยมีราคาที่เหมาะสม 1010 บาท เนื่องจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ออสเตรเลียเป็นบวกกับราคาถ่านหิน และแม้การหยุดผลิตชั่วคราวในเหมือง Daning ในประเทศจีนจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก แต่ราคาถ่านหินที่จะพุ่งขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมในออสเตรเลียจะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวได้

ก่อนหน้านี้ BANPU แจ้งตลาดฯ ว่า บริษัท Asian-American Coal Inc. (AACI) ซึ่งบริษัทย่อยในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รายงานว่าบริษัท Shanxi Asian-American Daning Energy Co., Ltd. (SAADEC หรือ ต้าหนิง) ซึ่ง AACI ถือหุ้นร้อยละ 56 ได้สั่งหยุดการผลิตถ่านหินที่เหมืองต้าหนิงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 การหยุดผลิตนี้สืบเนื่องจากใบอนุญาตของเหมืองต้าหนิงได้หมดอายุลงในวันดังกล่าวโดยที่การต่ออายุใบอนุญาตจากหน่วยงาน ท้องถิ่นยังคงอยู่ในระหว่างดำเนินการ ในขณะนี้เหมืองต้าหนิงได้ประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและจะได้รายงานความคืบหน้าให้บริษัทรับทราบต่อไป การที่ใบอนุญาตชั่วคราวในการทำเหมืองของเหมือง Daning ที่ BANPU ถือหุ้นอยู่ 56% ได้หมดอายุลง ถือเป็นข่าวลบต่อบริษัท เนื่องจากปัจจุบันเหมือง Daning ผลิตถ่านหินอยู่ปีละประมาณ 4 ล้านตัน/ปี

โดยในปีที่ผ่านมาเหมืองดังกล่าวก็เคยหยุดผลิตมาแล้ว 12 สัปดาห์ตั้งแต่ 12 มิถุนายน 2553 เนื่องจากในอนุญาตหมดอายุ ทำให้ผลประกอบการของเหมืองในจีนในไตรมาส 3/53 มีกำไรลดลงจากระดับ 1 พันล้านบาท/ไตรมาสเหลือเพียง 130 ล้านบาทในไตรมาสดังกล่าว อย่างไรก็ตามผลประกอบการไตรมาส 4/53 ของเหมืองในจีนจะกลับมาสู่ระดับปกติ แต่ในไตรมาส 1/54 จะอ่อนตัวลง จากการขาดหายไปของเหมือง Daning (ซึ่งคาดว่าอาจใช้เวลา 1-2 เดือนในการต่ออายุใบอนุญาต ทำให้อาจกระทบประมาณการผลกำไรทั้งปีประมาณ 2-3%)

ทั้งนี้ เราเห็นว่าเหตุการณ์น้ำท่วมในรัฐ Queensland ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย จะส่งผลบวกต่อราคาถ่านหินในตลาดโลก เนื่องจากจะทำให้ปริมาณการจำหน่ายถ่านหินส่งออกจากออสเตรเลียลดลง (ปริมาณการผลิตถ่านหินในรัฐ Queensland ต้องหยุดลงไปเกือบทั้งหมดรวมทั้งเหมืองขนาดใหญ่ทั้ง Rio Tinto, BHP Billiton, Xstrata และ Anglo American โดย Queensland ผลิตและส่งออกถ่านหิน coking coal ประมาณครึ่งหนึ่งของตลาดโลกและคิดเป็น 65% ของปริมาณการส่งออกถ่านหินของออสเตรเลีย คาดว่าต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะกลับมาผลิตได้ตามปกติ)

โดยปกติออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกถ่านหินอันดับ 2 ของโลก โดยมีปริมาณการส่งออกถ่านหินประมาณปีละ 130-140 ล้านตัน เป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตามเหมือง Centennial coal (CEY) ของ BANPU (ถือหุ้น 98.51%) ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ในรัฐ New South Wales ทำให้ปริมาณการผลิตและจำหน่ายยังเป็นปกติ รวมถึงท่าเรือ Newcastle ที่เป็นท่าส่งออกถ่านหินรายใหญ่ก็ไม่มีผลกระทบเนื่องจากตั้งอยู่ในรัฐ New South Wales แต่จะได้ประโยชน์จากราคาถ่านหินที่ปรับสูงขึ้นด้วย

เรายังประเมินยอดจำหน่ายถ่านหินของ BANPU ในปีนี้ที่ 42 ล้านตันเพิ่มขึ้น 83% จากปีก่อนที่ 23 ล้านตัน โดยเป็นปริมาณการจำหน่ายถ่านหินจาก CEY ประมาณ 16 ล้านตันหรือคิดเป็นประมาณ 38% ของปริมาณการจำหน่ายถ่านหินรวม จากประเด็นบวกกับราคาถ่านหินในตลาดโลกและ upside อีก 20% จากราคาเป้าหมายตามวิธี sum-of-the-part ที่ 1,010 บาท เรายังแนะนำ ซื้อ BANPU

***** เอเซีย พลัสให้ราคาเป้าหมาย LANNA 24.85 บาท
บทวิเคราะห์บล.เอเซียพลัส ระบุว่า แนะนำซื้อ BANPU โดยให้' Fair Value 918.76 บาท แม้บริษัท AACI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BANPU (ถือหุ้น 100%) ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รายงานว่าบริษัท SAADEC หรือ ต้าหนิง ที่ AACI ถือหุ้น 56% ได้หยุดการผลิตถ่านหินเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2553 หลังจากใบอนุญาตได้หมดอายุลง อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการขอต่อใบอนุญาตกับทางการจีน

ถือเป็นประเด็นลบต่อ BANPU และไม่ได้อยู่ในความคาดหมายของตลาด ถึงแม้ผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจจะไม่มีนัยฯมากนักหากเทียบกับแหล่งผลิตถ่านหินอื่นๆของ BANPU ในประเทศอินโดนีเซีย เพราะกำลังการผลิตลองเหมืองต้าหนิงอยู่เพียงประมาณ 3-4 ล้านตันต่อปี และ BANPU ถือหุ้นสุทธิ 56% ซึ่งคิดเป็นประมาณ 8-10% ของกำลังการผลิตรวมของ BANPU ทั้งการหยุดผลิตของเหมืองต้าหนิงดังกล่าวส่งผลให้ BANPU ต้องมีการตัดจำหน่ายต้นทุนคงที่เฉลี่ยราว 5 ล้านเหรียญฯต่อเดือน หรือคิดเป็น 9% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2554 และจะทำให้ Norm EPS ปี 2554 ของ BANPU เติบโตลดลงเหลือ 46%yoy จากเดิมที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 61%yoy

อย่างไรก็ตามยังถือเป็นประเด็นที่ต้องติดตามถึงข้อสรุปในการขอต่อใบอนุญาตจากทางการจีน โดยในเบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการและมูลค่าพื้นฐานปี 2554 เช่นเดิมที่ 918.76 บาทต่อหุ้น

นอกจากนี้ยังแนะนำซื้อ LANNA โดยมีมูลค่าพื้นฐาน 24.85 บาท โดย LANNA เปิดเผยว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย คาดจะได้ข้อสรุปก่อน 1 เหมือง ภายในสิ้นเดือน ธ.ค. 2553 โดยเหมืองแห่งนี้ขนาดอาจจะไม่ใหญ่มากนัก กำลังการผลิตราว 5 แสนตันต่อปี มีปริมาณสำรองถ่านหินราว (Reserves) 5 ล้านตัน และถ่านหินมีคุณภาพถ่านหินค่อนข้างสูง 6,300 kcal/kg เทียบกับเหมืองก่อนหน้าของ LANNAที่ 5,000-5,500 kcal/kg ทำให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี ซึ่งหากอ้างอิงดัชนีถ่านหินในปัจจุบัน จะสามารถขายได้ในราคาสูงถึง 90-100 เหรียญฯต่อตัน

อีกทั้งคาดกำไร (Margin) จากแหล่งนี้จะอยู่สูงถึง 20 เหรียญฯต่อตัน เทียบกับเหมืองอื่นๆของ LANNA ที่ 10-15 เหรียญฯต่อตัน เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการใช้ทางด้าน Logistic จากเหมือง LHI (LANNA HARITA INDONESIA – LANNA ถือหุ้น 100%) ได้ เนื่องจากพื้นที่อยู่ติดกัน สำหรับในส่วนของแหล่งเงินทุนนั้นคาดไม่มีปัญหา เนื่องจากปัจจุบัน LANNA มีกระแสเงินสดในมือสูงถึง 1.5 พันล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพียง 0.7 เท่า จึงยังสามารถก่อหนี้เพิ่มเติมได้

อีกทั้งในปี 2554 ยังเดินหน้าเข้าซื้อเหมืองถ่านหินใหม่อีก โดยคาดขนาดของเหมืองที่จะซื้อในปีปี 2554 จะใหญ่ขึ้น ปริมาณสำรองราว 40 ล้านตัน ซึ่งฝ่ายวิจัยยังไม่รวมไว้ในประมาณการ จึงถือเป็นประเด็นสำคัญสำคัญที่จะต้องติดตามเพราะจะทำให้ LANNA มีการเติบโตเชิงรุกและสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมีนัยฯในอนาคต

ฝ่ายวิจัยได้ทำการปรับเพิ่มประมาณการปี 2553 เพื่อสะท้อนแนวโน้มกำไรงวด 9M53 ที่ดีกว่าคาด อีกทั้งคาดแนวโน้มกำไรงวด 4Q53 จะเติบโตเมื่อเทียบกับงวด 3Q53 จากธุรกิจถ่านหิน โดยคาดจะได้รับอานิสงส์จากทั้งปริมาณขายถ่านหิน และราคาถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 10%qoq

ขณะที่ธุรกิจเอทานอลยังอาจเผชิญขาดทุนต่อจากทั้งราคาวัตถุดิบกากน้ำตาลที่ยังอยู่ในระดับสูงราว 5 พันบาทต่อตัน และการหยุดผลิตราว 1 เดือน ในช่วงเดือนสุดท้ายของงวด 4Q53 เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบเพราะอยู่ในช่วงหีบอ้อย และหากพิจารณาแนวโน้มกำไรในปี 2554 พบว่ายังมีการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องอีก 14%yoy (ยังไม่รวมการเข้าซื้อกิจการเหมืองถ่านหินใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2553 และในปี 2554) จากธุรกิจถ่านหินที่ได้รับอานิสงส์จากทั้งราคาขายและปริมาณขายที่ปรับตัวสูงขึ้น จากเหมืองถ่านหินที่มีอยู่ในปัจจุบัน 2 เหมืองคือ LHI และ SGP

โดยคาดกำลังการผลิตในปี 2554 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4 ล้านตัน (เหมืองละ 2 ล้านตัน) เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่ตั้งไว้ที่ 3.2 ล้านตัน ประกอบกับราคาถ่านหินยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยผลักดันให้กำไรในปี 2554 จากธุรกิจถ่านหินยังโดดเด่นต่อเนื่อง ขณะที่ในส่วนของธุรกิจเอทานอลนั้นคาดจะสามารถกลับมาเป็นกำไรได้หลังจากปี 2553 ต้องเผชิญกับขาดทุนสุทธิราว 60 ล้านบาท เนื่องจากได้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากโรงงานไทยอะโกรเอ็นเนอยี เฟส 2 อีก 2 แสนลิตรต่อวัน (เฟส 1 กำลังการผลิต 1.5 แสนลิตรต่อวัน) และคาดราคาขายเอทานอลมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 22-23 บาทต่อลิตร ในปี 2553 เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบทั้งมันสำปะหลัง และกากน้ำตาม ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาขายต้องมีการปรับตัวตาม

ภายใต้ประมาณการใหม่ มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2554 ภายใต้วิธี DCF เท่ากับ 24.85 บาทต่อหุ้น (จากเดิม 24.14 บาท) ราคาปัจจุบันยังมี Upside ถึง 31.5% และหากการเข้าซื้อเหมืองใหม่ 1 เหมืองที่จะได้ข้อสรุปภายในเดือน ธ.ค. 2553 จะเพิ่มมูลค่าให้กับ LANNA ได้อีกราว 3 บาท เป็น 27.85 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้ Upside เปิดกว้างขึ้นเป็น 47% อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี PER ต่ำเพียง 9.5 เท่า และจะลดลงเหลือ 8.3 เท่าในปี 2554 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 15 เท่า

----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : คาดตลาดยังแกว่งตัวขึ้นในลักษณะผันผวน ดังนั้นรอซื้อเมื่ออ่อนตัวได้...
แนวโน้ม: SET ยังมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่องได้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงดีต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนยังมีความต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงขณะที่นักลงทุนต่างประเทศในบ้านเราก็เริ่มกลับเข้าซื้อหุ้นไทยอีกครั้งตั้งแต่เปิดทำการปีใหม่มา โดย FSS คาดว่ามีเป้าหมายที่จะขยับขึ้นไปใกล้ๆ 1100 จุดให้หาจังหวะขายทำกำไรกันอีกครั้งได้ อย่างไรก็ตามคาดว่าการแกว่งตัวขึ้นรอบนี้จะมีแรงขายทำกำไรออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ ทำให้ SET จะมีลักษณะแกว่งตัวผันผวนอยู่ และยังมีสิทธิที่จะย้อนกลับลงไปเคลื่อนไหวในด้านลบได้ด้วย ซึ่งจะเห็นว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคก็เคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว ดังนั้นเรายังแนะนำให้รอจังหวะซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลงจะเหมาะสมกว่า โดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไล่ราคากลยุทธ์: ยังเลือกหุ้นเข้ารับเมื่อตลาดปรับตัวลงได้ โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่KTB, KBANK, PTL, PTTCH, TOP, SEAFCO, CSL, BIGC, PS, AP, TASCO,AMATA, KSL, TVO, CK, STEC และ TTW เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (+) ผลสำรวจพบภาคเอกชนในสหรัฐจ้างงานเพิ่มในเดือน ธ.ค. ADP เผยผลการสำรวจพบว่าภาคเอกชนในสหรัฐจ้างงานเพิ่ม 2.97 แสนตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขการจ้างงานสูงที่สุดในรอบ 10 ปีและมากกว่าที่ตลาดว่าจะเพิ่ม1 แสนตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ของสัปดาห์นี้อยู่ที่ตัวเลขการจ้างงานของก.แรงงานที่จะประกาศ 7 ม.ค. นี้ ตลาดคาดว่าจะมีการจ้างงานเพิ่ม 1.4 แสนตำแหน่ง และอัตราการว่างงานจะลดลงเหลือ 9.7% จาก 9.8%
• (+) กลุ่มแบงก์จะผลักดันตลาดไปต่อ สองวันแรกของปี 2011 SET Index+1.7% อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยของเอเชียที่ +1.6% แต่ยังบวกน้อยกว่าตลาดฮ่องกงมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ที่บวกกว่า 3% ส่วน Sector ที่ปรับขึ้นโดดเด่นเป็นไปตามกันคือ Financials ขณะที่กลุ่มที่ปรับลงในเอเชียส่วนใหญ่เป็น Oil&Gas,Basic material เพราะค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า เราเชื่อว่ากลุ่ม Banks จะผลักดันตลาดหุ้นไทยไปต่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งพุธหน้ามีประชุม กนง. ซึ่งทิศทางเป็นขาขึ้น
• (+) คาดราคาน้ำมันปาลม์เพิ่มขวดละ 9 บาท 7 ม.ค. นี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันพืชบริโภค (ชุดเล็ก) จะประชุม 7 ม.ค. เรื่องขึ้นราคาน้ำมันปาล์มขวดละ 9 บาทจากราคาเพดาน 38 บาทเป็น 47 บาท (เอกชนขอขึ้น 10บาท) ถ้าผ่าน ต้องรอมติ ครม. 11 ม.ค. หากมีการขึ้นราคาน้ำมันปาล์มจะเป็นบวกต่อ LST (ชดเชยต้นทุนที่แพงขึ้น) และดีทางอ้อมกับ TVO ที่ปัจจุบันมีราคาเพดาน49 บาท แต่ขายจริง 42 บาท ถ้าน้ำมันปาล์มแพงขึ้น คนอาจหันไปบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองทดแทน หรือ TVO มีทางเลือกที่จะปรับขึ้นราคาขายโดยไม่ต้องการอนุมัติเรายังแนะนำ “ซื้อ” TVO ราคาเป้าหมาย 36 บาท
• (+) KTB คำกล่าวของ ‘กรณ์’ ที่ว่าคลังไม่ต้องการให้ KTB เป็นยุทธศาสตร์ เป็นประเด็นสำคัญซึ่งทำให้คลังอาจตัดสินใจขายหุ้น KTB ที่ถืออยู่ตอนนี้ราว 55%ออกทั้งหมดมีความเป็นไปได้มากขึ้น และการเก็งกำไรจากราคาขายหุ้นจะกลับมาอีกครั้งเนื่องจาก 1) ผู้ซื้อใหม่อาจต้องทำ Tender offer 2) เราคาดว่าราคาขายKTB จะออกมาดีกว่า SCIB ที่ FIDF ตั้งราคา PBV 1.6 เท่าเพราะ KTB มีฐานเงินฝากและสินเชื่อขนาดใหญ่สุด เราคาดว่า PBV 1.8-2.0 เท่ามีความเป็นไปได้ คิดเป็นราคา 19.80 – 22 บาท (เราให้ราคาพื้นฐาน 19.50 บาท) ‘ซื้อเก็งกำไรได้’• Fund flow วานนี้ไหลเข้าแต่เบาบางมาก ทั้งนี้น่าจะเป็นผลจากค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้งเมื่อเทียบกับเงินทุกสกุล เนื่องจากตัวเลขจ้างงานและตัวเลขยอดขายปลีกสหรัฐดีกว่าคาด ต้องบอกว่าช่วงนี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีกว่าคาดค่อนข้างบ่อย แต่ยังไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เฟดก็ยังคงอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าจะส่งผลให้แนวโน้มกระแสเงินทุนจากต่างชาติอาจชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคช่วงนี้บ้าง และเชื่อว่ามีนักลงทุนบางส่วนคิดว่าหากเศรษฐกิจสหรัฐดีนักลงทุนต่างชาติอาจขนเงินกลับไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐก็เป็นไปได้เพราะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับขึ้นแรงมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสำหรับค่าเงินบาทเช้านี้ยังทรงตัวอยู่ที่ 30 บาท/ดอลลาร์


ข่าวภายในประเทศ
คลังขายหุ้นกรุงไทยใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ: รมว.คลังเผยว่าก.การคลังจะประชุมหารือกับธปท.เรื่องการแก้ไขหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) โดยในส่วนแนวทางการขายทรัพย์สินของ FIDF โดยเฉพาะ KTB นั้นก.การคลังกล่าวว่าไม่ต้องการถือหุ้น KTB ไว้เป็นยุทธศาสตร์ และไม่เคยใช้ KTB เป็นเครื่องมือในทางนโยบายของรัฐบาลเหมือนธกส.หรือธ.ออมสิน (ที่มา โพสต์ทูเดย์ 6/1/2011) ความเห็น: คำกล่าวของรมว.คลังที่ว่าคลังไม่ต้องการให้KTB เป็นยุทธศาสตร์ เป็นประเด็นสำคัญซึ่งทำให้คลังอาจตัดสินใจที่จะขายหุ้น KTB ที่ถืออยู่ตอนนี้ราว 55% ออกทั้งหมดมีความเป็นไปได้มากขึ้น และการเก็งกำไรจากราคาขายหุ้นจะกลับมาอีกครั้ง เนื่องจาก 1.การขายออกทั้ง 55% เกินจุด Ticker point ที่ 50% ที่จะทำให้ผู้ซื้อรายใหม่ต้องทำTender offer จากนักลงทุนที่เหลือทั้งหมดด้วย (ยกเว้นกรณีมีการเพิ่มทุนเกิดขึ้นด้วยอาจได้รับการยกเว้น เช่นเดียวกับกรณี BAY และ TMB หรือกรณีแยกขายให้ผู้ซื้อหลายราย) 2. หากเกิดการขาย เราคาดว่า KTB จะขายได้ในราคาที่ดีกว่า SCIB ซึ่ง FIDF ตั้งราคาที่ ~ PBV 1.6 เท่าเพราะ KTB มีฐานเงินฝากและสินเชื่อขนาดใหญ่ที่สุด, มีปัจจัยพื้นฐานในเกณฑ์ที่ดีกว่า หากประเมินจากความได้เปรียบดังกล่าวคาดว่าราคาขายอาจสูงที่ราว PBV ~ 1.8-2 เท่า หรือคิดเป็นที่ราคา 19.8-22 บาท (อิง 2010E BVS ที่ 11 บาท) ขณะที่ตามราคาเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ประเมินไว้ที่ 19.50 บาท ยังมีupside อีกราว 8% ดังนั้นจึงแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
JAS ฟันกำไรพิเศษขายทิ้งทีทีแอนด์ที บันทึกทันที 63 ล้านบาท ราคาเหลืออัพไซด์ 0.42 บาท JAS โละหุ้น TT&T ทิ้ง ประเดิมล็อตแรก4.13% ฟันกำไรทันที 63 ล้านบาท พร้อมจ่อคิวขายส่วนที่เหลือ 6.54% วงในเชื่อถือเป็นข่าวดีรับปีใหม่ มองราคาวิ่งต่อได้ถึง 2.50 บาท หรืออัพไซด์0.42 บาท โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแคช บาลานซ์ แถมผลประกอบการปี' 53 แนวโน้มโดดเด่นตามธุรกิจบรอดแบนด์กำลังขาขึ้น โบรกฯแนะเล่นเก็งกำไรสบายหายห่วง (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-01-2011)
หุ้นน้ำมันปาล์มเฮพาณิชย์ปรับขึ้น 9 บ. LST-UVAN-UPOIC-TVO เตรียมรับข่าวดีปรับราคาน้ำมันปาล์มอีกขวดละ 9 บาท เป็น 47 บาท จากราคาเพดาน 38 บาท ตามราคาต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับวันนี้จะมีการอนุมัติให้มีการนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ จากมาเลเซีย 50,000 ตัน (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น6-01-2011)
RAIMON กำไรพุ่งขายที่ดินเพลินจิตชี้ ‘เต่า’ ถือหุ้นใหญ่ RAIMON อสังหาฯเทิร์นอะราวด์ พลิกมีกำไร บุ๊คกำไรขายที่ดินย่านเพลินจิต 200 ล้านบาท บวกรับรู้รายได้ไตรมาส 4 พลิกปี'53 กำไร ส่วนปี'54 ทยอยรับรู้เดอะ ริเวอร์ กำไรพุ่ง 400 ล้านบาท ราคาเหมาะสม 0.80 บาท ตะลึง “หม่อมเต่า”ประธานแบงก์ชาติ ดอดเก็บหุ้นแล้ว 61 ล้านหุ้น (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-01-2011)
TTCL จ่อได้งานใหม่ 1.2 หมื่นล. ดันรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 40% ซื้อเป้า 11.80 บาท TTCL ลุ้นเซ็นงานใหม่ปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท จากมูลค่างานที่ยื่นประมูลทั้งหมด 5.45 หมื่นล้านบาท ดันรายได้ทั้งปีแตะ 1 หมื่นล้านบาท โตไม่น้อยกว่า 40% จากปี 2553 ที่ทำได้ 7,000 ล้านบาท โบรกฯมองฐานรายได้ที่สูงขึ้นมากหนุนกำไรปีนี้สู่ระดับ 421 ล้านบาท เติบโต 23% แนะซื้อเป้าหมาย 11.80 บาท มีอัพไซด์ 15% (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-01-2011)
CPF-GFPT ตรุษจีนราคาไก่-หมูขึ้น รายได้ไตรมาสแรกฟื้น CPF เป้าเกิน 25 บาท CPF-GFPT เตรียมรับอานิสงส์เทศกาลตรุษจีน คาดความต้องการเพิ่มดันราคาไก่-หมูสูง ดันผลประกอบการไตรมาส 1/54 ฟื้นตัวจากไตรมาส 4/53 โบรกฯ แนะนำถือ CPF ราคาเป้าหมาย 25.41 บาท ส่วนGFPT ราคาเป้าหมาย 11 บาท (ที่มา: นสพ.ข่าวหุ้น 6-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.
-ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปิดบวกต่อเนื่องอีก 31.71 จุด หลังตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนออกมาแข็งแกร่งเกินคาดส่งผลให้นักลงทุนยังคงมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกล้าที่จะซื้อสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ ยังแกว่งตัวผันผวนเช่นเดิมโดยหลายประเทศยังมีแรงขายกดดันให้ลงไปเคลื่อนไหวใน
ด้านลบอยู่
VIX Index ยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องอีกกว่า 2% หลังนักลงทุนยังมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

ราคาน้ำมันในตลาดล่วงหน้า NYMEX ดีดกลับขึ้น 0.92ดอลลาร์มาปิดตลาดที่ 90.30 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง
ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ลดลงอีก 5.10ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1373.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อเนื่อง

ข่าวต่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา: ADP เผยภาคเอกชนในสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 297,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ADP Employer Services ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านตลาดแรงงานในสหรัฐเปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐเพิ่มการจ้างงาน 297,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 100,000 ตำแหน่ง (ที่มา: อินโฟเควสท์ 6-01-2011)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยสต็อกน้ำมันดิบสัปดาห์ที่แล้วร่วงลงเกินคาด 4.2 ล้านบาร์เรล สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค. ลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 335.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.7 ล้านบาร์เรล (ที่มา: อินโฟเควสท์ 6-01-2011)
สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนี ISM ภาคบริการเดือนธ.ค.ขยายตัวรวดเร็วสุดในรอบ 4 ปี สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.ขยายตัวสู่ระดับ 57.1 จุด จากเดือนพ.ย.ที่ระดับ 55 จุด ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 และเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 4 ปี เนื่องจากภาคบริการมีมุมมองที่เป็นบวกแต่แนวโน้มการทำธุรกิจ (ที่มา: อินโฟเควสท์ 6-01-2011)
เอเชีย: กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียคาดผลผลิตน้ำมันปาล์มปีนี้เพิ่มขึ้น 9.5% ฟาดิล ฮัสซัน ประธานสมาคมผู้ผลิตน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียคาดการณ์ว่า ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบของอินโดนีเซียในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 9.5% แตะ 23 ล้านตัน และหากสภาพอากาศปกติในช่วงการเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนเม.ย.หรือพ.ค. ผลผลิตก็อาจจะเพิ่มขึ้นอีก 2 ล้านตัน สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานสมาคมฯ กล่าวว่า การผลิตน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 500,000 ตันในปีนี้ หรือ 2% และอาจจะต่ำกว่าระดับอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยที่ 4% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ที่มา: อินโฟเควสท์ 5-01-2011)
เอเชีย: ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศตรึงดอกเบี้ยที่ 6.50% วันนี้ แม้เงินเฟ้อพุ่ง ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 6.50% ในการประชุมวันนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.พุ่งขึ้นเหนือระดับเป้าหมายของธนาคารกลางก็ตาม ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียกำลังถูกกดดันให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เดือนธ.ค.ของอินโดนีเซียพุ่งขึ้นแตะระดับ6.96% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับระดับ 6.7% ในเดือนพ.ย. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 5-01-2011)
----------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น