Code 348 : SET ดูไม่ดี หลังปิดต่ำกว่า Low เมื่อวานที่ 963

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554


ATT Code : SET ดูไม่ดี หลังปิดต่ำกว่า Low เมื่อวานที่ 963

จากที่ตอนช่วงเช้ามีแรงซื้อ PTT โดยยกขึ้นไป 2 ช่อง ขึ้นไป High ที่345 แต่ตอนก่อนปิดตลาด ก็มีแรงขายออกมา ทำให้ SET ปิดที่ 959.69จุด ลบไป 4.41 จุด โดยหลุด 963 จุดที่ต่ำสุดของวันจันทร์ ทำให้ SET มีโอกาสที่จะหลุดลงไปที่ 950 ได้ใหม่อีกครั้ง โดยยังมีความกังวลในเรื่องของการชุมนุมประท้วงในประเทศอียิปต์อยู่ และมีความเสี่ยงที่อาจจะเป็นชนวนให้ลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือได้

-----------------------------------------------------------------------------
MARKET WAVE Analysis
1 กพ. 54 ( -17.73 จุด ) โกมล พงศ์วิญญู เลขทะเบียน 18338


Intraday - ระยะสั้นไม่ชัดเจน : ภาพระยะสั้นไม่ชัดเจนถ้าเกิน 973.88 จุดสูงสุดเช้านี้ ขึ้นต่อ 982 - 987 ใกล้จุดสูงสุด 27 มค.ถ้าต่ำกว่า 962.95 จุดต่ำสุดวันจันทร์ ลง 950 - 951 จุดต่ำสุดสัปดาห์ที่แล้ว โดยรวมน่าจะแกว่งตัวในกรอบ 950 - 987 อีกหลายสัปดาห์

ปรับตัวลง 950 - 951 จุด
แนวโน้มดัชนีในวันอังคาร (หรือพุธ) มีโอกาสปรับตัวกลับลงไปแถว 950 – 951 ใกล้จุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้งณ บริเวณ 950 – 951 จุด ดัชนีน่าจะมีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นมาแถว 980 – 987 ? ใกล้จุดสูงสุดของวันพฤหัสที่ 27 มค. และเป็นบริเวณแนวต้านตามธรรมชาติของเส้นค่าเฉลี่ย 25 สัปดาห์

และพอมีความเป็นไปได้ว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวอีกนาน “หลายสัปดาห์” ในกรอบ 950 - 987 หรือ ระหว่างจุดต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว ถึงจุดสูงสุดของวันที่ 27 มค.


หุ้นเด่น
ESSO
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 7.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายสองสามวัน7.80 – 7.90( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 7.30 )7.80 – 7.90

PTTEP
ปรับตัวขึ้นมาอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25 ชั่วโมงได้อีกครั้ง รอซื้อตามเมื่อปรับตัวเกิน 161.50จุดสูงสุดวันจันทร์ เป้าหมายสองสามวัน167.50 – 169.50( ตัดขาดทุนถ้าต่ำกว่า 158.50 )

10 อันดับซื้อขายสูงสุด
PTT ปรับตัวลง 315 – 325
BANPU ปรับตัวลง 700 – 720
IVL แกว่งตัว 38 – 40.50
KTB ปรับตัวลง 14 – 15
TRUE ปรับตัวลง 6.20 - 6.30
PTTEP รายละเอียดใน “หุ้นเด่น”
PTTAR แกว่งตัว 36.50 – 37.75
SCB ต่ำกว่า 94 ลง 92 – 93
PTTCH แกว่งตัว 137.50 – 141
SCC แกว่งตัว 308 – 319

------------------------------------------------------------------------------------------
เงาหุ้น - มุมมองเอเซียพลัส!!


ดัชนีหุ้นวันที่ 31 ม.ค.54 ปิดที่ 964.10 จุด ลบ 17.73 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 21,290.69 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 883.64 ล้านบาท

บทวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส ระบุว่า สถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในอียิปต์ ได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลก จนทำให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกร่วงกราวรูด และที่สำคัญหุ้นไทยที่เริ่มมีแววเหมือนจะฟื้นตัวจากแรงเก็งกำไรในผลประกอบที่กำลังจะทยอยประกาศออกมาต้องมาสะดุดและร่วงตามไปด้วย

เพราะอียิปต์ ถือว่าเป็นประเทศที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ มีพื้นที่ภูมิประเทศใกล้เส้นทาง การขนส่งสินค้าทางทะเล ซึ่งเป็นหัวใจหลักจากเอเซีย ไปยังทวีปยุโรป โดยผ่านคลองสุเอซ เพื่อช่วยย่นระยะทางในการขนส่ง

ปัญหาความวุ่นวายในอียิปต์ จึงอาจทำให้การค้าโลกสะดุด และอาจกลายเป็นตัวจุดชนวนให้ปัญหาลุกลามไปยังประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ที่มีปัญหาสะสมคล้ายกับอียิปต์ สถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จึงช่วยเร่งให้นักลงทุนต่างชาติ ที่ก่อนหน้านี้ก็ขายออกต่อเนื่องอยู่แล้วให้ขายเพิ่มเติมยิ่งขึ้น เพื่อโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยงสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

โดยสัญญาณที่น่าจับตา คือแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาท ที่ล่าสุดอ่อนค่ามาอยู่ที่ 31.19 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สอดรับกับแฝดสามอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ (TIP) ที่นอกจากหุ้นจะร่วงกระหน่ำกว่า 2.39% และ 2.24% ค่าเงินรูเปี๊ยะและเปโซก็ล้วนอ่อนค่ากว่า เช่นกัน ตรงนี้ก็น่าจะเป็นตัวยืนยันถึงแนวโน้มการไหลออกของเงินทุนระยะสั้นในกลุ่มประเทศ TIP

ฝ่ายวิจัยมองแนวโน้มการไหลออกของเงินทุนระยะสั้นว่า น่าจะยังไหลออกต่อเนื่อง จากการประเมินการเข้าออกในแต่ละรอบของต่างชาติที่มักจะขายออกราว 60% จากที่เข้าซื้อ ทำให้มองได้ว่ารอบนี้ต่างชาติยังเหลือปริมาณหุ้นที่จะขายออกอีกราว 1.25 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีแกว่งเชิงลบต่อไปอีกระยะแต่คาดว่าจะไม่ลงไปต่ำกว่า 930 จุด

หรือดัชนีที่ระดับ 950 จุด น่าจะพอรับได้อยู่ เพราะเป็นระดับต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นรอบนี้นับตั้งแต่ 23 ก.ค.53 ซึ่งมี พี/อีที่ 12 เท่า น่าจะเป็นระดับที่หยุดการขายของฝรั่งได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะ 1—3 เดือนข้างหน้ายังเน้นหุ้นที่สามารถป้องกันเงินเฟ้อได้ โดยเน้นหุ้นที่ underperform กลุ่ม คือ PTTEP, BANPU!!

อินเด็กซ์ 51

-----------------------------------------------------------------------------
EFinance Thai - ADVANCสะดุด

ADVANC ร่วงหลังเจอ TOT เรียกให้จ่ายค่าเสียหายกรณีแก้สัมปทานมากกว่า 7.3 หมื่นลบ.ภายใน 15 ก.พ.54 ขณะที่ผู้บริหารระบุยังไม่ได้รับหนังสือเรียกค่าเสียหายพร้อมประกาศสู้เต็มที่ เล็งนำเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ ด้านวงการมอง คดีพิพาทนี้ต้องใช้เวลาต่อสู้อีกนาน แต่ความเสี่ยงต่างจากกรณี ITV สั่งจับตาวันนี้ รมว.ไอซีที ชงเรื่องเข้า ครม.หรือไม่ มองกรณีแย่สุดหากต้องจ่ายจริง ราคาเหมาะสมเหลือ79-80บาท

หลังจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ตำแหน่งทางการเมืองที่ตัดสินคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่คดีความยังมีประเด็นที่เกี่ยวพันต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานของกิจการโทรคมนาคม ซึ่ง1ในบริษัทที่จะได้รับผลกระทบคือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน)(ADVANC)


ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) (TOT ) ระบุว่า ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือน บริษัท แอวดADVANC เพื่อให้ชำระความเสียหายที่เกิดจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 6 และ 7 รวมเป็นเงิน 73,800 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% นับตั้งแต่วันที่มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน โดย TOT กำหนดให้ ADVANC ต้องจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ.54
ขณะที่ ผู้บริหาร ADVANC ยืนยันจะไม่จ่ายความเสียหายของ TOT เนื่องจากคำตัดสินของศาลฎีกาฯ เป็นการพิพากษาเฉพาะบุคคล ไม่ใช่พิพากษาบริษัทฯ ขั้นตอนต่อไป ADVANC เตรียมนำ เรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการแน่นอน ล่าสุดเมื่อวานนี้ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)ระบุว่า ขณะนี้ บริษัทฯ ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าวจากTOTแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามจากกรณีดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น ADVANC ปรับตัวลดลง โดยราคาหุ้นเปิดที่ 77.50 บาท ลดลง 2.75 บาทจากปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งปิดที่ 80.25บาทโดยลดลงต่ำสุดที่ 77 บาท ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 80.00 บาทลดลง 0.25 บาท หรือ 0.31% มูลค่าการซื้อขาย 451.99 ล้านบาท


***บล.เกียรตินาคิน สั่งจับตา รมว.ไอซีที เข้าครม.วันนี้หรือไม่ ชี้กรณีแย่สุด ราคาหุ้นเหลือ 80บาท***
บล.เกียรตินาคิน ประเมินว่า ขั้นตอนนำไปสู่ข้อยุติค่อนข้างสับสน?ติดตาม 1 ก.พ.นี้ จะเสนอ ครม.หรือไม่ เห็นว่าขั้นตอนที่จะนำไปสู่ข้อยุติเรื่องสัมปทานของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย (ADVANC, DTAC และ True move) ค่อนข้างสับสน

ทั้งนี้จากการสอบถามผู้บริหารทั้ง 3 บริษัทฯ ให้ข้อมูลตรงกันว่า กระทรวง ICT ควรนำผลสรุปความเห็นคณะกรรมการมาตร 22 การแก้ไขสัมปทานโทรศัพท์มือถือเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นก่อน จากนั้นก็ส่งเรื่องกลับมาให้หน่วยงานรัฐกับเอกชนคู่สัญญา หากคู่สัญญามีความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับสัมปทาน จะเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ก็จะไปสู่ศาล ในกรณีนี้จึงต้องติดตามว่า รมว.ICT จะนำผลสรุปการแก้ไขสัญญาโทรศัพท์มือถือของ 3 ราย เสนอที่ประชุม ครม. วันที่ 1 ก.พ.นี้ หรือไม่

ข้อพิพาทภาษีสรรพสามิต ADVANC กับ TOT อยู่ในชั้นอนุญาโตฯ ปัจจุบันข้อพิพาทการหักส่วนแบ่งรายได้เป็นภาษีสรรพสามิตของ ADVANC, DTAC และ True move อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ และยังไม่มีคำวินิจฉัยออกมา กรณี ADVANC การหักส่วนแบ่งรายได้ปี 46 - 50 เป็นภาษีสรรพสามิต มีมูลค่าประมาณ 31,463 ล้านบาท คิดเป็นผลกระทบต่อหุ้น 10.61 บาท จึงต้องติดตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตฯ จะออกมาอย่างไร

ประเมินความเสี่ยงสัมปทานต่อ ADVANC เป็น 2 กรณี เห็นว่าความเสี่ยงสัมปทานของ ADVANC ไม่เหมือนกรณี ITV ซึ่งปรับลดส่วนแบ่งรายได้โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานรัฐคู่สัญญา (สปน.) และ ITV ยังค้างจ่ายค่าสัมปทาน อย่างไรก็ตามประเมินความเสี่ยงสัมปทานของ ADVANC เป็น 2 กรณี

1) กรณีแย่สุด จ่ายส่วนแบ่งรายได้บริการ Roaming และส่วนแบ่งรายได้ prepaid ตามเงื่อนไขเดิมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2544 (ปี 44-58) จะกระทบมูลค่าเหมาะสมปี 54 ลดลง 27 บาท จาก 108 บาท เหลือ 80 บาท

2) กรณีจ่ายส่วนแบ่งรายได้บริการ Roaming และไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ prepaid ย้อนหลัง (ปี 54-58) จะกระทบมูลค่าเหมาะสมปี 54 ลดลง 17 บาท จาก 108 บาท เหลือ 91 บาท

*** บล.ดีบีเอสฯ มองกรณีแก้ไขสัมปทานต้องส่งต่อ อนุญาโตตุลาการ - SCB อาจโดนหางเลขทางจิตวิทยา***
ด้าน บล. ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองว่า จากประเด็นนี้เล็งเห็นถึงแรงกระเพื่อมทางการเมืองที่อาจจะมากขึ้น นอกเหนือจากการเป็นปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ADVANC, SHIN ต่อไป ซึ่งจากการวิเคราะห์เบื้องต้น พบว่า ถ้าคิดจากค่าปรับจำนวน 7.3 หมื่นล้านบาท จะเท่ากับ 24.6 บาทต่อหุ้น ADVANC และเป็น 9.70 บาทต่อหุ้น SHIN (SHIN ถือ ADVANC 42.56%)

อย่างไรก็ตาม ทางผู้บริหารของ ADVANC ยืนยันว่าจะไม่ชำระค่าเสียหายตามที่ TOT เรียกร้อง เพราะการแก้สัญญาสัมปทานเกิดขึ้นตามมติของคณะกรรมการทั้ง 2 ฝ่าย คือ ฝ่าย ADVANC และฝ่าย TOT และทางบริษัทจะใช้สิทธิในการนำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการด้วย สำหรับ SCB มีโอกาสที่หุ้นจะยังได้รับผลกระทบทางจิตวิทยาจากการเป็นผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ให้กับกลุ่ม SHIN แต่มองว่าเรื่องนี้กระทบกับปัจจัยพื้นฐานของธนาคารจำกัดมาก จึงไม่มีการปรับราคาพื้นฐานของหุ้นลงแต่อย่างใด โดยปัจจุบันให้ราคาเป้าหมาย 12 เดือนของ SCB ไว้ที่ 121.50 บาท

ทั้งนี้ปิดตลาดวานนี้(31 ม.ค. 54) SCB ปิดอยู่ที่ 94.00บาท ลดลง 2.00บาทหรือ 2.08% มูลค่าการซื้อขาย 700.09ล้านบาท


*** บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองคดีพิพาท ADVANC ต้องใช้เวลาอีกหลายปี ระบุกรณีแย่สุดฉุดราคาเหลือ 79 บาท***
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่ายังเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้น ADVANC แม้ตามขั้นตอน หลังจากมีข้อสรุปจากคณะกรรมการตามมาตรา 22 ของพ.ร.บ.ร่วมทุน มูลค่าความเสียหายจากการแก้ไขสัญญาระบบพรีเพด ของ ADVANC (โดยลดอัตราส่วนแบ่งรายได้บริการโทรศัพท์มือถือแบบพรีเพด เหลือ 20% จากเดิมที่เป็นอัตราขั้นบันได เพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ปี 2001 และเพิ่มเป็น 30% ตั้งแต่ปี 2006 - สิ้นอายุสัมปทานปี 2015 และการไม่นำส่งรายได้จากบริการโรมมิ่ง) รวม 75,000 ล้านบาท รมว.ICT จะต้องนำข้อสรุปเข้าครม. ซึ่งรมว.ICT เคยบอกว่าจะนำกรณีของ ADVANC เข้าเสนอครม.พร้อมกับกรณีของ DTAC, TRUE, และ THCOM ซึ่งล่าสุด คาดว่าในวันที่ 1 ก.พ.นี้ (เลื่อนมาหลายครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อน) และหากครม.เห็นชอบด้วย ก็จะมอบหมายให้รัฐวิสาหกิจคุ่สัมปทาน (TOT/CAT) ส่งเรื่องต่อบริษัทเอกชน ซึ่งแน่นอน ADVANC จะไม่ยอมจ่าย (เนื่องจากการแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ไม่ผ่านครม.ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐคู่สัมปทาน คือ TOT เอง) และนำเรื่องเข้าสู่อนุญาโตตุลาการ หากยังตกลงกันไม่ได้ ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังศาลปกครอง กระบวนการฟ้องร้องและต่อสู้ในทางกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะใช้เวลาหลายๆ ปีกว่าจะได้ข้อสรุป และไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานและการจ่ายปันผลใน 1-2 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม กรณี Worst case หากต้องจ่าย 75,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 25 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 104 บาท เหลือ 79 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบัน แต่กรณี Base case (หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าสิ้นสัมปทาน) คาดผลกระทบประมาณ 11 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 93 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ยังมีส่วนลด 15.8% และ Dividend yield ระดับ 8% คง Rating “Buy”

*** บล.ยูไนเต็ด มองกรณี ADVANC ต้องต่อสู้อีกนาน ให้ราคาเป้าหมาย 107.30บาท***
ด้านบล.ยูไนเต็ด มองว่า คณะกรรมการตาม ม.22 ของ พรบ.ร่วมทุน มีมติให้ ADVANC กลับไปจ่ายส่วนแบ่ง
รายได้ในอัตราเดิมที่ 30% และจะขยายผลไปสู่การแก้สัญญาสัมปทานอื่นด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังต้องต่อสู้กันอีกนาน จึงจะได้ข้อยุติและมีผลบังคับในเชิงพื้นฐาน ยังชอบหุ้น ADVANC โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 107.30 บาท

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
FSS : ยังสามารถทยอยเลือกหุ้นเข้ารับได้...เพื่อรอรอบทำกำไรเมื่อ SET ดีดขึ้น!
แนวโน้ม: แม้ว่าสถานการณ์ในอียิปต์จะยังไม่สงบ แต่นักลงทุนก็เริ่มวิตกน้อยลงไปบ้าง ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มกลับมาดูดีขึ้นอีกครั้ง ส่วนค่าเงินบาทก็กลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย รวมทั้งตลาดหุ้นในต่างประเทศก็เริ่มรีบาวด์กลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกกันส่วนใหญ่ ทำให้ FSS คาดว่าน่าจะช่วยสนับสนุนให้SET สามารถรีบาวด์ขึ้นมาเป็นบวกตามได้ด้วย ประกอบกับการทยอยประกาศผล
การดำเนินงานของ บจ. ต่างๆ รวมถึงการประกาศจ่ายปันผล น่าจะทำให้ SETชะลอการปรับตัวลงในช่วงนี้ และมีโอกาสที่จะกลับมารีบาวด์ขึ้นไปใกล้ๆ 1000จุดหรือสูงกว่าเล็กน้อยได้ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นเข้าซื้อได้เมื่อตลาดปรับตัวลง และถือเพื่อรอจังหวะขายทำกำไรอีกครั้งเมื่อ SET สามารถดีดตัวขึ้น

กลยุทธ์: รอเลือกหุ้นซื้อเมื่อตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ BGH, BH,BEC, MCOT, PHATRA, BLS, LPN, SVI, PTTCH, PTTAR, IRPC, IVL, TOP,ESSO, BANPU, LANNA, STA เป็นต้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
• (-) อียิปต์ไม่นิ่ง หุ้นตก น้ำมันพุ่ง ล่าสุด Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตจากBa1 เหลือ Ba2 และปรับลดแนวโน้มจาก Stable เหลือ Negative ตามหลัง Fitchที่ปรับลงไปตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ในแง่การค้าไทย-อียิปต์ ตลาดอียิปต์คิดเป็นเพียง 0.2% ของมูลค่าการส่งออกของไทย โดยไทยได้ดุลมาตลอด สินค้าที่ไทยส่งออกไปอียิปต์ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ตู้เย็น สินค้าส่งออกสำคัญของอียิปต์ได้แก่ น้ำมันดิบ เส้นใยใช้ในการทอ น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเบรกหนังดิบและหนังฟอก การประท้วงในอียิปต์แทบไม่มีผลโดยตรงกับไทย แต่มีผลทางอ้อมคือราคาน้ำมันปรับขึ้น ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อกำลังตามมา

• (-) เม็ดเงินเคลื่อนย้ายเข้า Safe haven นักลงทุนซื้อดอลลาร์ เยน และสวิสฟรังก์เพิ่มขึ้น ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงลง ทั้งจากเหตุการณ์ในอียิปต์และ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ยูโรโซนมีเงินเฟ้อสูงเกินคาดทำให้ตลาดคิดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเร็วขึ้น ที่ประกาศเงินเฟ้อวันนี้มีไทย อินโดนีเซีย และเกาหลี

• (+) เศรษฐกิจไทยเดือน ธ.ค. ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคส่งออกที่เพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมวดสินค้าเกษตร รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1.8 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ซึ่งส่วนใหญ่มาจากจีนและเอเชียด้วยกัน ขณะที่การบริโภคในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง การลงทุนชะลอเล็กน้อย การผลิตลดลงจากฐานสูงในปีก่อนหน้า

• (-) กลุ่มมือถือยังวุ่น ก.ไอซีทีจะนำเรื่องแก้ไขสัญญาสัมปทานทั้งของ ADVANC,DTAC, True Move เข้า ครม.วันนี้ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสัญญาระหว่าง กสท. กับ True Move กรณีซื้อกิจการ Hutch ภายใน 15 วันว่าเข้าข่ายโมฆะหรือไม่ หุ้นกลุ่มนี้ถูกกดันด้วยข่าวมาโดยตลอด เราลงทุนในหุ้นกลุ่มด้วยเหตุผลเดียวคือเงินปันผลซึ่ง ADVANC เป็นทางเลือกเดียวเพราะ Yield สูงสุด สำหรับTRUE เป็นการเก็งกำไรตามข่าวเท่านั้น โดยพื้นฐานแนะนำ ‘ขาย’

• (+) BLS กำไร 4Q10 +77% Q-Q, +153% Y-Y ดีกว่าคาด และคาดว่าจะจ่ายปันผล 2.20 – 2.50 บาท/หุ้น Yield สูงถึง 12-13% และราคาหุ้นยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 22 บาท แนะซื้อรับปันผล

• (+) CPALL คาดกำไร 4Q10 -21% Q-Q ตามปกติของไตรมาสสุดท้าย และคาดปันผล 1 บาท/หุ้น คาดกำไรปีนี้โตสูง 29% เป็นหุ้นที่ยังน่าซื้อ เป้าหมาย 48 บาท

• Fund Flow วานนี้กลับมาไหลออกอีกครั้งในวันแรกของสัปดาห์ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทุกตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลีใต้ขายหนักมากกว่าปกติทั้งนี้นอกจากเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการเมืองในอียิปต์แล้ว การปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้น Emerging Market ยังมีอยู่ต่อเนื่อง เพราะเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์
สหรัฐที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับยูโรและค่าเงินภูมิภาค รวมถึงค่าเงินบาทเช้านี้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 30.89 บาท/ดอลลาร์ ทำให้แนวโน้มกระแสเงินทุนต่างชาติน่าจะมีโอกาสไหลออกแต่ในปริมาณไม่มาก สำหรับหุ้นกลุ่มนำตลาดช่วงนี้ก็จะเป็นหุ้นในกลุ่มน้ำมัน กลุ่มพลังงาน่และปิโตรเคมี ที่ยังอยู่ปรับขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่อง เรายังเน้นการซื้อสะสม และเข้าเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มปตท.และหุ้น ESSO ที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี เพราะบริษัทแม่ EXXON ประกาศผลการดำเนินงานปี 2010 มีกำไรดีมาก

ข่าวภายในประเทศ
ADVANC,DTAC,TRUE : นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ICT กล่าวว่า ในวันนี้ (1ก.พ.) จะนำเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานของคณะกรรมการมาตรา 22 ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ของ ADVANC, DTAC และคณะกรรมการมาตรา 13 เกี่ยวกับการเจรจาเรื่องผลประโยชน์ที่รัฐควรจะได้รับของ TRUEMOVE เข้าที่ประชุมครม."แม้จะมีกระแสว่ามีบางคนพยายามที่จะดึงเรื่องนี้ออกจากวาระการประชุม" นอกจากนี้ ยังเตรียมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทำสัญญาระหว่างกสท.กับTRUEMOVE กรณีเข้าซื้อบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย (Hutch) เพราะถูกมองว่าไม่มีความโปร่งใสและเร่งรีบเซ็นสัญญา ส่งผลให้คณะทำงานเพื่อพิจารณารายละเอียดของสัญญาการดำเนินการต้องลาออก 17 คนทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวจะตั้งขึ้นภายใน 15 วัน หลังจากบอร์ด กสทและนายจิรายุทธ รุ่งศรีทองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท เข้ามาชี้แจง ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 1 หรือ 2 ก.พ.นี้จากกำหนดเดิมที่ต้องเข้าชี้แจงในวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 1-02-2011)

ความเห็น: (1) ต้องติดตามว่าจะนำเรื่องแก้ไขสัญญาสัมปทานเข้าครม.จริงหรือไม่ ในวันนี้ (จากที่มีข่าวว่าจะทำมาตั้งแต่ปลายปีก่อน) ประเด็นดังกล่าว จะยังกดดันต่อราคาหุ้น แม้คาดกระบวนการทางศาลต้องใช้เวลาเป็นหลายปีกว่าจะมีข้อสรุปในทางพื้นฐาน กรณี Worst case หาก ADVANC ต้องจ่าย 75,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 25 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 104 บาท เหลือ 79 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาหุ้นปัจจุบัน แต่กรณี Base case (หากต้องจ่ายค่าสัมปทานเพิ่มใน 5 ปีข้างหน้าสิ้นสัมปทาน) คาดผลกระทบประมาณ 11 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมายจะเหลือ 93 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน ยังมีส่วนลด 15.8% และ Dividend yield อย่างต่ำระดับ 8% คง Rating “Buy” ส่วน DTAC (ที่มีเสียงแตกระหว่างกรรมการ) แต่กรณี Worst case หากต้องจ่าย 9,000 ล้านบาทจริง จะคิดเป็น 3.80 บาทต่อหุ้น จากราคาเป้าหมายเดิม 48 บาท เหลือ 44 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันยังมีส่วนลด 9% และ Dividend yield ระดับ 6% ส่วน TRUEMOVE ยังไม่เห็นตัวเลขความเสียหายที่ประเมิน "ถือ"

(2) TRUE: ข่าวการตั้งกรรมการตรวจสอบการทำสัญญาระหว่างกสท.กับ TRUEMOVE กรณี Hutch เป็น Sentiment ทางลบ แม้มีกระแสข่าวมาแล้วบ้างสอดคล้องกับความกังวลของเราเกี่ยวกับดีลนี้ ในด้านกฎหมาย (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ และมาตรา 46 พ.ร.บ.คลื่นฯ ใหม่ เกี่ยวกับ MVNO) กอปรกับราคาหุ้น แม้เมื่อวานปรับฐานลงบ้าง แต่ปรับขึ้นเกือบ 40% ในช่วง 4 เดือนรับข่าวซื้อ Hutch ยัง Rating "Sell"

PS บุ๊ครายได้ตปท.เป้าปีนี้2.4พันล้าน "PS" มั่นใจปีนี้บุ๊ครายได้จากต่างประเทศ "มัลดีฟส์-อินเดีย-เวียดนาม" กว่า 2,400 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของรายได้รวม 32,000 ล้านบาท ลุยเปิดเพิ่มปีนี้ 4 โครงการที่อินเดียและเวียดนาม พร้อมขยายต่างจังหวัดเพิ่มเล็งขอนแก่น-ภูเก็ต โชว์แบ็กล็อก 3 หมื่นล้านบาท บุ๊คปีนี้ 1.8 หมื่นล้านบาท (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

PTTEP กำไรQ1หมื่นล้านสัญญาณมอนทาราเชิงบวก PTTEP เดินเครื่อง“ออยล์ แซนด์เคเคดี”ประเดิมผลิต 10,000 บาร์เรลต่อวัน วงการเงินชี้ กำไร Q1 ยืนพื้นเกิน 10,000 ล้านบาท เชื่อกำไรทั้งปีกระฉูด 50,000 ล้านบาท หุ้นร้อนฉ่าข่าวดีกระตุ้น แถมปันผล 2.48 บาท ปัญหามอนทาราไม่เลวร้ายถึงขั้นถอนใบอนุญาต (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

PTTCH กำไรปี 53 โต 51% ได้ดีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ลุ้นครึ่งหลังปันผล 2.05 บาท "PTTCH" อวดกำไรปี 2553 แตะ 10,241 ล้านบาท โต 51% เหตุปริมาณการขายเพิ่มขึ้นทุกผลิตภัณฑ์ ส่วน Q4/53 คาดกำไร 2,700 ล้านบาท เติบโต 34% รับอานิสงส์โรงแยกก๊าซ 6 เดินเครื่อง (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

STANLY กำไรQ3โต345ล้านบาท ออเดอร์โคมไฟเข้าแน่น อัพไซด์หุ้นเหลือเพียบ STANLY กำไรไตรมาส 3 กระฉูด 345 ล้านบาท ออเดอร์งานผลิตโคมไฟเข้าทะลักหนุนยอดขายพุ่งแตะระดับ 2,200 ล้านบาท วงการเงินชี้กำไรไตรมาส 4 ดีต่อไม่มีหยุด ยืนพื้นขั้นต่ำ 300 ล้านบาท หนุนกำไรทั้งปีหวนทะลุ 1,400ล้านบาท วางราคาเป้าหมายไกลเกิน 200 บาท ปันผลทั้งปีเกิน 5 บาท (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

STA สิงคโปร์ปิดตลาดรูด0.83% STA ร่วง ปิดเทรดวันแรกที่ตลาดสิงคโปร์ 1.19 ดอลลาร์สิงคโปร์ ลดลง 0.83% จากราคา IPO ที่ 1.20 ดอลลาร์สิงคโปร์ส่วนราคาหุ้นในไทยลดลง 5% ด้าน SIAS Research มองว่า STA เป็นผู้แปรรูปยางพารารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่ง ที่น่าจะดึงดูดความสนใจจากกองทุนระดับโลกและนักลงทุนบางส่วนได้ (ที่มา: ข่าวหุ้น 1-02-2011)

-----------------------------------------------------------------------------
สรุปภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ตปท.

ตลาดหุ้นสหรัฐสามารถดีดกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นบวกได้โดยปิดบวกไป 68.23 จุด จากผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จากตัวเลขการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. นับเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ตัวเลขกิจกรรมทางธุรกิจในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือน ม.ค.

ดัชนี VIX ปรับตัวลดลง 2.5% มาอยู่ที่ระดับ 19.55 หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาดูดีอีกครั้ง

ขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียที่เปิดทำการเช้านี้เริ่มมีรีบาวด์ขึ้นมาเคลื่อนไหวในด้านบวกด้วยเช่นกัน

ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อย มาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 31บ./ดอลลาร์อีกครั้ง

ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ปิดที่ 92.19 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้นอีก 2.85 ดอลลาร์ โดยปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากความกังวลต่อสถานการณ์ในอียิปต์

ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด COMEX ปิดที่ 1334.50ดอลลาร์/ออนซ์ กลับมาปรับตัวลง 7.20 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐ และการคลายความกังวลต่อปัญหาหนี้สินในยุโรป


ข่าวต่างประเทศ
ยุโรป: เงินเฟ้อยูโรโซนขยายตัวสูงเกินคาด 2.4% ในเดือนม.ค. สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือ ยูโรสแตท เปิดเผยว่า ราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโร 17 ประเทศ ปรับตัวขึ้นแตะ 2.4% ในเดือนมกราคม ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งเดือนที่ตัวเลขเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) หลังจากที่ขยายตัว 2.2% ในเดือนธ.ค. ราคาผู้บริโภคที่ได้รับการเปิดเผยล่าสุดนี้ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.3% (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.7%,รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนธ.ค.ปี 2553 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% และทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 เนื่องจากภาคครัวเรือนของสหรัฐลดการออมและนำเงินออกมาจับจ่ายมากขึ้น ส่วนตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคในไตรมาส 4 ปี2552 เพิ่มขึ้น 4.4% ทำสถิติขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 4 ปี ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลของชาวสหรัฐในเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. และอัตราการออมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.141 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. (ที่มา: อินโฟเควสท์ 1-02-2011)

สหรัฐอเมริกา: สหรัฐเผยดัชนีภาคธุรกิจเขตมิดเวสต์พุ่งเกินคาด หลังผู้บริโภคเพิ่มใช้จ่าย สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมภาคธุรกิจในเขตมิดเวสต์เพิ่มขึ้นแตะระดับ 68.8 จุดในเดือนม.ค. จากระดับ 66.8 จุดของเดือนธ.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 65.0 จุด เนื่องจากผู้บริโภคมีการจับจ่ายมากขึ้น (ที่มา: อินโฟเควสท์ 1-02-2011)

จีน: จีนเผยยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดพุ่ง 25% แตะ 3.062 แสนล้านดอลลาร์ในปี 53 สำนักปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่าจีนมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 306.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ซึ่งพุ่งขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า ยอดเกินดุลบัญชีทุนและบัญชีการเงินของจีนปรับตัวขึ้นแตะ 1.656 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2553 เทียบกับจำนวน 1.091 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2552 (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

เอเชีย: ญี่ปุ่นเผยยอดการผลิตรถยนต์ปี 53 พุ่ง 21.3% ขณะยอดส่งออกรถยนต์พุ่ง 33.8% สมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่ายอดการผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นในปี 2553 พุ่งขึ้น 21.3% จากปีก่อน แตะที่ 9,625,940 คัน ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี หากพิจารณาเป็นรายประเภทรถยนต์พบว่า ยอดการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพุ่งขึ้น 21.1% ในปี 2553 แตะที่ 8,307,382 คัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ปีขณะที่ยอดการผลิตรถบรรทุกเพิ่มขึ้น 22.8% แตะที่ 1,209,224 คัน ทำสถิติเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และยอดการผลิตรถบัสเพิ่มขึ้น 26% แตะที่109,334 คัน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 2 ปี (ที่มา: อินโฟเควสท์ 31-01-2011)

-----------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น